พัฒนาการเศรษฐกิจการเมือง "ระบอบศักดินาสยาม" สู่ "ระบอบทุนนิยมแบบไทย" (4)

พัฒนาการเศรษฐกิจการเมือง "ระบอบศักดินาสยาม" สู่ "ระบอบทุนนิยมแบบไทย" (4)

อุตสาหกรรมน้ำตาลทราย เป็นอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการผูกขาดอย่างชัดเจนในยุคนั้น

ดยอาศัยแรงงานจากชาวจีนอพยพ มีการขยายตัวเติบโตอย่างรวดเร็วในปลายรัชกาลที่สอง น้ำตาลทรายได้กลายเป็นสินค้าสำคัญในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น การตั้งโรงงานน้ำตาลทรายต้องใช้เงินลงทุนมาก เจ้าของกิจการเหล่านี้จึงเป็น กษัตริย์ เจ้านายและขุนนาง หรืออาจสรุปได้ว่าเป็นกิจการของชนชั้นปกครอง ส่วนโรงงานน้ำตาลทรายขนาดเล็กขนาดกลางบางส่วนก็มีกลุ่มพ่อค้าชาวสยามเชื้อสายจีนเป็นเจ้าของ ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะมีการสะสมทุนโดยเริ่มจากการทำงานเป็นผู้รับจ้างก่อน

รัชกาลที่สามยังได้ลงทุนตั้งโรงงานทำน้ำตาลทรายตามเมืองต่างๆ หลายเมือง เช่น โรงงานน้ำตาลทรายหลวงที่พนัสนิคม ฉะเชิงเทราและนครชัยศรี โรงงานน้ำตาลทรายหลวงเหล่านี้จะอยู่ในพื้นที่ที่มีการปลูกอ้อยจำนวนมาก โดย สังฆราชปาลเลอกัวซ์ ได้บันทึกถึงแหล่งปลูกอ้อยและผลิตน้ำตาลทรายว่า “มีโรงหีบอ้อยไม่ต่ำกว่า 20 โรง (ฉะเชิงเทรา-ผู้เขียนตำรา) ..... ไร่อ้อยเป็นจำนวนมากทั้งสองฝั่งฝากแม่น้ำแจ้งให้เรารู้ว่า เรากำลังเข้าไปใกล้เขตจังหวัดนครชัยศรี.....เห็นโรงหีบอ้อยตั้งเรียงรายอยู่เป็นระยะไม่ขาดสาย ข้าพเจ้านับได้กว่า 30 โรงซึ่งแต่ละโรงใช้กุลีจีนราว 200 ถึง 300 คน” โรงงานน้ำตาลทรายหลวงที่ตั้งขึ้นมาดำเนินกิจการมักประสบภาวะขาดทุนต่างจากโรงงานน้ำตาลทรายเอกชน ในสมัยรัชกาลที่สี่ก่อนเซ็นสนธิสัญญาเบาว์ริง เหลือโรงงานน้ำตาลทรายหลวงเพียงแห่งเดียวที่ยังอยู่รอด นอกนั้นปิดกิจการไปอันเป็นผลมาจากความไม่ชำนาญทางการค้าของเจ้าเมืองที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลและอาจเกิดจากการฉ้อราษฎร์บังหลวง

หลักฐานชั้นต้นได้ระบุถึง รายชื่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายว่า ในส่วนที่เป็นชนชั้นศักดินา (เจ้านายและขุนนาง) ประกอบไปด้วย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) หลวงพิทักษ์ทศกร พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ทองจีน) พระยาเทพวรชุน พระยาราชมนตรี พระยาสมบัติวานิช เป็นต้น ส่วนที่เป็นชนชั้นพ่อค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนอพยพ ได้แก่ จีนยี่ จีนไลฮี จีนบุนกุย จีนจิม จีนฉายหง เป็นต้น

กิจการที่มีชนชั้นศักดินาเป็นเจ้าของมักไม่ได้ประกอบการเองเป็นผู้จัดการ หรือ “หลงจู๊” ดำเนินการแทน เรียกกันในสมัยนั้นว่า “หลงจู๊นายโรงหีบ” ส่วนกิจการโรงงานน้ำตาลทรายที่เป็นของพ่อค้าชาวจีนจะบริหารงานเองทั้งหมด

อุตสาหกรรมต่อเรือ อุตสาหกรรมต่อเรือสำเภาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีจุดมุ่งหมายในการต่อเรือเพื่อสนองอุปสงค์ภายในเป็นด้านหลัก ไม่ได้มีการต่อเรือเพื่อการส่งออก สยามต่อเรือได้ในราคาถูกและมีคุณภาพ ไทยมีไม้เนื้อแข็งคุณภาพดีจำนวนมากจึงเป็นพื้นฐานที่ดีให้กับอุตสาหกรรมนี้ การที่สยามสามารถต่อเรือได้ถูกกว่าประเทศอื่นทำให้พวกพ่อค้าต่างชาตินิยมซื้อเรือสำเภาจากสยาม ต่อมาทำให้เรือสำเภาจากสยามกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ อู่ต่อเรือของเอกชนจำนวนมากเรียงรายอยู่ตามแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งส่วนใหญ่เป็นกิจการของราชสำนักและชาวต่างชาติในสยาม ต่อมาอุตสาหกรรมต่อเรือสำเภาได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วในสมัยรัชกาลที่สาม แต่ต่อมาเมื่อย่างเข้าสู่ทศวรรษ 2380 กิจการต่อเรือสำเภาได้ถดถอยลงจากความนิยมที่มากขึ้นในเรือกำปั่นแบบฝรั่ง อู่ต่อเรือหลวงจึงได้หันมาต่อเรือกำปั่นแบบฝรั่งแทนและมีการว่าจ้างช่างต่อเรือชาวฝรั่งมาทำงานโดยอยู่ภายใต้การควบคุมของหลวงนายสิทธิ์ (ช่วง บุนนาค)

อุตสาหกรรมเหมืองแร่ สยามมีสินแร่อยู่หลายชนิด เช่น ดีบุก อัญมณีต่างๆ ทองแดง พลวง สังกะสี เหล็ก เป็นต้น แต่สินแร่ที่ผลิตเพื่อส่งออกมีสองประเภท คือ ดีบุกและเหล็ก ดีบุกนอกจากจะเป็นสินแร่ที่ส่งออกแล้ว ยังเป็นสินค้าใช้ในระบบ Barter system แลกกับสินค้าอาวุธ รัฐบาลราชสำนักและบรรเทาขุนนางไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการเหมืองแร่มากนัก เพราะกำไรน้อย การเข้าไปเกี่ยวข้องกับการผลิตดีบุกจึงเป็นเรื่องของพ่อค้าและไพร่ตามหัวเมืองทางภาคใต้ของสยาม ผู้ลงทุนทำเหมืองดีบุกในเชิงพาณิชย์เพื่อการส่งออกจึงเป็นเพียงพวกเจ้าภาษีนายอากรดีบุกและพวกชาวสยามเชื้อสายจีนที่สามารถสะสมทุนได้ระดับหนึ่งหลังจากอพยพเข้ามาอยู่ในสยาม

รัฐบาลราชสำนักเข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจการเหมืองแร่ดีบุกด้วยการเรียกเก็บส่วยดีบุก โดยมีเจ้าภาษีนายอากรเป็นผู้ทำหน้าที่เก็บส่วยและภาษีให้ ในสมัยรัชกาลที่สาม การทำเหมืองดีบุกจะเจริญเติบโตมากขึ้นกว่าเดิมมาก การทำเหมืองก็ยังคงใช้เทคนิคการผลิตแบบง่ายและเป็นเหมืองขนาดเล็ก ส่วนสินแร่อีกประเภทหนึ่งที่มีการส่งออกมาก คือ แร่เหล็ก แร่เหล็กมีมากแถบจังหวัดนครสวรรค์ พิษณุโลกและตาก การผลิตเหล็กเพื่อการพาณิชย์คงเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่สองโดยมีการทำเหมืองโดยชาวจีน ส่วนใหญ่ส่งไปขายมลายู ญวนใต้และกัมพูชา โรงงานถลุงเหล็กบางแห่งของชาวสยามเชื้อสายจีนแถวท่าซุงมีคนงาน 500-600 คนและทำการผลิตทั้งวันทั้งคืน

นอกจากนี้ยังมีการตั้งโรงตีเหล็กและหล่อเหล็ก เพื่อทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เช่น เหล็กพาย ตะปู กระทะ โซ่เหล็ก ถัง มีด จอบ เสียม เป็นต้น ส่วนสินแร่อื่นๆ มีผลิตกันน้อย ส่วนมากผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศเป็นหลัก