ขอบเขตอำนาจ "ดาบสองคม" ที่ต้องการคำอธิบาย

อำนาจยิ่งมาก ยิ่งต้องระวังตัวมาก เพราะอำนาจมาพร้อมกับความรับผิดชอบ และความเสี่ยงที่จะใช้ไปในทางที่ผิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากประชาชนเจ้าของประเทศไม่ได้มีส่วนยึดโยงกับอำนาจนั้น
ดังนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญชั่วคราวมีมาตรา 44 ที่ให้ “อำนาจพิเศษ” แต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในลักษณะที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงย่อมจะมีคำถามจากคนไทยที่ต้องการรู้ว่ามีความจำเป็นเพียงใดที่จะต้องรวบอำนาจเอาไว้ทุก ๆ ด้านในคนกลุ่มเดียว?
คุณวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษากฎหมายของ คสช. บอกนักข่าวว่ามาตรา 44 ถือเป็นอำนาจพิเศษที่ใช้เฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงหรือคณะรัฐมนตรีไม่สามารถกระทำการได้เพื่อให้การดำเนินการปฏิรูปเป็นไปได้อย่างเรียบร้อย ไม่ซ้ำรอยกับการรัฐประหารครั้งที่แล้ว
อีกทั้งยังบอกว่าจากนี้ไประยะ 1 ปีนั้นจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดเสียงบ่นว่าสิ่งที่ดำเนินมา 2 เดือน “เสียของหรือเสียเปล่า” ดังนั้น รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับนี้จึงจำเป็นต้องวางหลักการบางอย่างที่ดูเข้มงวด พะรุงพะรัง ยุ่งยาก “แต่ก็จำเป็น”
คุณวิษณุเป็นคนร่างกฎหมายฉบับนี้เอง และเตือนเองว่า
“อนาคตต้องติดตามว่า คสช.จะใช้ประกาศิตนี้ในทางสร้างสรรค์หรือทำลาย ส่งเสริมหรือกำราบ เป็นเหมือนดาบที่มีสองคม เพราะ คสช. อยู่ภายใต้การจับตาของทุกฝ่ายอยู่แล้ว”
คุณวิษณุเปรียบรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับนี้ว่าเป็น “เหมือนต้นสายแม่น้ำอีก 5 สายที่จะหลั่งไหลพรั่งพรูนับจากนี้”
หมายถึงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ, คณะรัฐมนตรี, สภาปฏิรูปแห่งชาติ, คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และ คสช.
พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รองหัวหน้า คสช. ฝ่ายกฎหมายบอกว่า ขอบคุณทุกฝ่ายที่ห่วงใยในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญชั่วคราว “แต่การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องใช้รัฐธรรมนูญ เราจะใช้ในสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ไม่ให้เกิดความเสียหาย ขอโอกาสและเวลาให้ คสช. ปฏิบัติตามแผนงานที่ได้ให้ไว้”
หากอ่านมาตรา 44 ละเอียดก็ต้องเข้าใจได้ว่านี่เป็นมาตรการ “ไม่ปกติ” เพราะ “อำนาจพิเศษ” นี้นอกจากกุมอำนาจเบ็ดเสร็จทางด้านบริหารราชการแผ่นดินแล้ว ก็ยังครอบคลุมไปถึงอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตุลาการอีกด้วย
อีกทั้งยังน่าสังเกตว่าขอบเขตของการใช้มาตรา 44 นี้ไม่จำกัดเฉพาะการป้องกันระงับหรือปราบปรามการกระทำที่เกี่ยวกับความมั่นคงหรือเพื่อปราบปรามความวุ่นวายในบ้านเมืองเท่านั้น หากแต่ยังสามารถใช้เหตุผลอ้าง “เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปหรือส่งเสริมความสมานฉันท์ของคนในชาติ” ได้อีกด้วย
แน่นอนว่า คสช. ต้องมีความคิดว่าสถานการณ์อะไรบ้างที่ทำให้ต้องมี “อำนาจพิเศษ” มากขนาดที่ไม่เคยมีมาก่อน? ภัยคุกคามต่อประเทศอะไรหรือที่จะทำให้ต้องมีอำนาจที่ไม่ปกติไร้ขอบเขตขนาดนี้?
หรือ คสช. รู้ในสิ่งที่ชาวบ้านอย่างพวกเราไม่รู้? หรือมีข้อมูล มีข่าวกรองอะไรที่ยังเปิดเผยไม่ได้?
เพราะการขยายอำนาจของผู้ปกครองประเทศเพิ่มเติมเพียงใด ก็ย่อมหมายถึงการต้องลดสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากขึ้นเพียงนั้น
เพราะหากต้องมีอำนาจเฉพาะกิจเฉพาะกาลเพื่อผลักดันให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าเพื่อการปฏิรูปกลับสู่ระบอบประชาธิปไตย มาตราอื่น ๆ ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวก็น่าจะมีมากพอสำหรับ คสช. ที่จะทำภารกิจที่รับปากกับประชาชนได้แล้ว
คำว่า “อำนาจเบ็ดเสร็จ” กับ “การส่งเสริมความสมานฉันท์ของคนในชาติ” นั้นไม่น่าจะไปด้วยกันได้
เพราะการปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ ย่อมจะต้องอยู่ในพื้นฐานของการเคารพในสิทธิของกันและกัน และความไว้เนื้อเชื่อใจอันเป็นหัวใจของความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการถ่วงดุลแห่งอำนาจของกลุ่มต่าง ๆ ในบ้านเมือง
มาตรา 44 จึงเป็นมาตราที่ต้องการคำอธิบายให้กระจ่าง และควรจะต้องระบุชัดเจนว่ากรณีเช่นใดบ้างที่จำเป็นต้องให้มีกติกาที่ผิดปกติเพียงนี้?







