ความถูกต้องของการกำหนดราคาน้ำมันโรงกลั่นไทย

ความถูกต้องของการกำหนดราคาน้ำมันโรงกลั่นไทย

ในช่วงที่ผ่านมามีผู้ให้ความเห็นเรื่องราคาน้ำมันบ้านเราว่าแพงเกินไป มีสาเหตุมาจากการกำหนดราคาน้ำมันในประเทศ

โดยสมมุติว่าประเทศต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์ จึงบวกค่าใช้จ่ายเทียมจากค่าขนส่งและประกันภัยทั้งที่ไม่ได้นำเข้าจริง การกำหนดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นที่ถูกต้องควรเป็นราคาน้ำมันส่งออก ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดว่ามีความถูกต้อง สามารถปฏิบัติได้จริงภายใต้ระบบตลาดเสรี

กลับไปย้อนรำลึกกับคำถามสามัญ ทำไมราคาน้ำมันบ้านเราต้องอิงสิงคโปร์ ทุกรัฐบาลที่เข้ามาก็บอกว่าจะมาจัดการแต่ก็หน้าหงายไปทุกชุด เพราะมันเป็นความจริงที่ว่า สิงคโปร์เป็นตลาดซื้อขายน้ำมันที่ใหญ่สุดในย่านเอเชียแปซิฟิก ธุรกรรมซื้อขายน้ำมันเกิดขึ้นที่สิงคโปร์ ซึ่งราคาซื้อขายคือราคาตามกลไกตลาด ที่สะท้อนจากอุปสงค์-อุปทาน ของน้ำมันในย่านเอเชียแปซิฟิก ราคาน้ำมันที่สิงคโปร์จึงเป็นฐานอ้างอิงที่ผู้ค้าขายในย่านเอเชียแปซิฟิกใช้ในการกำหนดราคา

หากให้โรงกลั่นกำหนดราคาน้ำมันตามต้นทุน คงเป็นที่ชื่นชอบของโรงกลั่น เพราะมันหมายถึงการรับประกันรายได้ ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนแข่งกันปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุน และในขณะเดียวกันคงไม่สามารถดำเนินการได้โดยง่าย เนื่องจากแต่ละโรงกลั่นมีต้นทุนที่ต่างกัน ช่วงปี พ.ศ. 2541-2546 ที่ค่าการกลั่นตกต่ำจากกำลังการกลั่นมีมากกว่าความต้องการ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปขึ้นน้อยและลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบ หากกำหนดราคาตามต้นทุนการผลิตในช่วงนั้น หมายถึงราคาน้ำมันที่จะแพงกว่าราคาตลาด

เมื่อประเทศเป็นผู้ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปแล้ว จึงมีผู้เห็นว่าการกำหนดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นบ้านเราควรเป็นราคาส่งออกและแสดงวิธีคิดว่า ราคาน้ำมันส่งออกคือการส่งออกน้ำมันไปขายที่ตลาดสิงคโปร์ ดังนั้น ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นบ้านเราจึงเสนอเป็น ราคาน้ำมันสิงคโปร์ลบค่าขนส่ง ค่าประกันภัย และอื่นๆ จากสิงคโปร์มาถึงไทย เพราะไทยจะไปขายที่สิงคโปร์ นิยามราคาส่งออกตามแนวคิดนี้ผิดโดยสิ้นเชิง

ในการส่งออกโรงกลั่นไทยจะแข่งขันกับคนขายที่สิงคโปร์ ด้วยราคาน้ำมันสิงคโปร์บวกค่าขนส่งจากสิงคโปร์ไปยังประเทศที่ไทยจะส่งออก ดังนั้น ราคาส่งออกไปยังแต่ละประเทศจะแตกต่างกันตามค่าขนส่งที่ใกล้-ไกล เช่น หากส่งไปญี่ปุ่นและเกาหลี เราสู้สิงคโปร์ไม่ได้ เพราะเขาใกล้กว่าทำให้ค่าขนส่งเขาถูกกว่า แต่ส่งออกไปจีนพอแข่งขันได้ เพราะค่าขนส่งใกล้เคียงกัน และสำหรับตัวเลขการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยไปยังสิงคโปร์ที่สูงกว่าทุกประเทศ ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นการส่งออกเพื่อไปจำหน่ายต่อ นั้น เกือบทั้งหมดเป็นการส่งออกน้ำมันเบนซินออกเทนต่ำ ดีเซลพื้นฐาน และน้ำมันเตา ที่ผู้ค้าน้ำมันและโรงกลั่นน้ำมันในสิงคโปร์ นำไปเป็นวัตถุดิบในการกลั่นหรือผสมต่อเป็นน้ำมันสำเร็จรูป

สำหรับราคาสมมุติหรือราคาเทียมที่ถูกกล่าวขาน นั้น แท้จริงแล้วก็คือราคาตลาดนั่นเอง ไม่ใช่การสมมุติแต่อย่างใด แต่เกิดจากการแข่งขันหรือกลไกตลาด ภายใต้ระบบตลาดเสรีโรงกลั่นน้ำมันไทยต้องแข่งขันกับการนำเข้าน้ำมันจากสิงคโปร์ นโยบายการเปิดให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนสร้างโรงกลั่น นั้น ราคาน้ำมันยังคงเป็นไปตามราคาตลาด โดยรัฐหรือประเทศได้ประโยชน์ คือ ไม่ต้องรับภาระการลงทุน แต่ได้ความมั่นคงด้านการจัดหาน้ำมันของประเทศ และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ มูลค่าของส่วนต่างของราคาน้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบ หมายถึง มูลค่าดุลการค้าที่ประเทศประหยัดจากการนำเข้าน้ำมันดิบแทนน้ำมันสำเร็จรูป อันหมายถึงความมั่นคงหรือเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

ประเด็นการกำหนดคุณภาพน้ำมันสะอาด มาตรฐานยูโร 4 ทำให้ราคาน้ำมันต้องสูงขึ้นส่วนหนึ่ง นั้น ต้องเข้าใจว่า นโยบายพลังงานมีมิติด้านสิ่งแวดล้อมด้วย การเผาไหม้พลังงานสร้างมลพิษที่ส่งผลต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภคและผู้อยู่แวดล้อม การกำหนดคุณภาพน้ำมันสะอาดของไทยมีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพอนามัยที่ดี โดยเฉพาะกับผู้มีรายได้น้อยที่มีความเสี่ยงกับมลพิษบนท้องถนนมากกว่าผู้มีรายได้มาก คุณภาพอากาศบ้านเราที่ดีในวันนี้ ล้วนมีผลมาจากการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันที่ผ่านมา อันได้แก่ น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว น้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำ และน้ำมันเบนซินและดีเซลมาตรฐานยูโร ที่มีค่าสารอะโรมาติกซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งต่ำ

หากรัฐจะกลับมาควบคุมการกำหนดราคาน้ำมัน เพื่อกำหนดให้ราคาหน้าโรงกลั่นต่ำกว่าราคาตลาดหรือราคานำเข้า นั่นหมายถึง การเปลี่ยนแปลงนโยบายบริหารประเทศด้านเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิง ซึ่งรัฐธรรมนูญหมวดนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐได้กำหนดไว้ว่า รัฐจะสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีโดยอาศัยกลไกตลาด นอกจากนั้น ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงที่เคยให้ไว้กับภาคเอกชนที่ลงทุนสร้างโรงกลั่น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติต่อประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการที่ ปตท. ได้ถือหุ้นในกิจการการกลั่นน้ำมัน ซึ่งเฉพาะในส่วนของบริษัทที่ ปตท. มีอำนาจเข้าไปบริหารจัดการองค์กรได้ (ไทยออยล์ PTTTGC และ IRPC) ก็มีกำลังการกลั่นเกิน 50% ของกำลังการกลั่นรวม ก็เข้าข่ายการผูกขาดทางธุรกิจการกลั่น การที่ ปตท. อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบการถือครองตลาด จึงเป็นอุปสรรคต่อระบบการแข่งขัน นอกจากนั้น ความไม่ชัดเจน/ไม่โปร่งใส ก็ทำให้เกิดคำถามที่เป็นข้อสงสัยกับสังคมได้ตลอด การปรับบทบาท ปตท. ต่อธุรกิจการกลั่นของประเทศจึงเป็นเรื่องจำเป็น

ภายใต้ระบบตลาดเสรี แม้ว่าจะลดการผูกขาดของ ปตท. ในกิจการการกลั่นแล้ว แต่การแข่งขันกับการนำเข้าจากสิงคโปร์ ก็ยังคงทำให้โรงกลั่นน้ำมันไทย ตั้งราคาตามการนำเข้าจากสิงคโปร์ ยกเว้นแต่รัฐจะตั้งโรงกลั่นและกำหนดราคาเอง ซึ่งรัฐจะมีความสามารถในการลงทุนและบริหารได้หรือไม่ การพัฒนาอุตสาหกรรมการกลั่นของประเทศในอดีต ซึ่งส่งเสริมให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูง ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ และต้องการการบริหารที่คล่องตัว ที่สามารถปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์พลังงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

จากการที่พลังงานมีความเกี่ยวพันในหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสิ่งแวดล้อม ทำให้การกำหนดนโยบายด้านพลังงาน ไม่สามารถจำกัดแค่เพียงข้อมูลด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งความครบถ้วนของข้อมูลและการคำนึงถึงผลกระทบให้รอบด้าน จัดเป็นเรื่องสิ่งที่สำคัญยิ่ง