Divergence Diversity and Convergence (28) รัฐกับตลาด

ปัญหาของอเมริกาวันนี้ก็คงเหมือนกับประเทศที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต เช่น อังกฤษ ที่ย่อมมีการถดถอย มีความเสื่อมคลาย
ปัญหาของอเมริกาไม่ใช่ปัญหาที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่อยู่ผู้เดียว หรือความเสื่อมคลายในเชิงสัมพัทธ์ (Relative) ในหลายๆ มิติ ไม่ว่าจะเทียบกับจีนหรือประเทศอื่นๆ ทั้งโลก ปัญหาของอเมริกาไม่ใช่เป็นเพราะอเมริกาเผชิญวิกฤติใหญ่ในปี 2007 แม้วิกฤติของอเมริกาและผลพวงของวิกฤติที่มีต่อโลกไม่เกิดขึ้น อเมริกาและโลกส่วนหนึ่งก็มีวิกฤติในเชิงโครงสร้างอยู่แล้ว มันเพียงแต่รอวันระเบิด นอกจากนี้ปรากฏการณ์ของวิกฤติกับระบบทุนนิยมนั้นเป็นของคู่กัน ไม่ว่าประเทศจะเลือกใช้ทุนนิยมสไตล์แบบไหน การมีนโยบายที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาต่างหากที่จะเป็นตัวกำหนดความแข็งแกร่งในการหลีกเลี่ยงและรองรับสภาวะวิกฤติ
ที่น่ากลัวและน่าหดหู่ใจสำหรับคนอเมริกันส่วนใหญ่วันนี้และในอนาคตน่าจะเป็นเรื่องของมิติด้านคุณภาพ ซึ่งได้แก่ คุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมที่สะท้อนมาจากการถดถอยของสถาบัน ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองระบบคุณค่าหรือค่านิยม ปัญหานี้รุนแรงและชัดเจนขึ้นในรอบ 30 ปีที่ผ่านมาเมื่อระบบการเมืองของอเมริกาเลือกที่จะให้ตลาดทำงานอย่างเสรีตามแนวทางของลัทธิเสรีนิยมใหม่ ปัญหาทั้งหมดสวนทางกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่อเมริกาเป็นผู้นำในหลายๆ ด้านทั้งในอดีตและปัจจุบัน สวนทางกับรายได้เฉลี่ยต่อหัวที่เพิ่มขึ้นมาตลอดของคนอเมริกัน แม้จะเพิ่มขึ้นน้อยลงแต่ก็ยังสูงกว่าหลายประเทศในยุโรป 10-20%
นักคิดผู้เชี่ยวชาญของโลกในอดีตค่อนข้างจะทำนายอเมริการวมทั้งโลกของทุนนิยมกระเดียดไปในทางที่ผิด ในต้นศตวรรษที่ 20 แล้วต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ใครๆ ก็มองอเมริกาเป็นต้นแบบ เป็นความหวังสำหรับโลกเสรี โลกของทุน โลกของปัจเจก โลกของระบบประชาธิปไตย เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต เวลาที่อเมริกาเผชิญวิกฤติใหญ่ในทศวรรษ 1930 ช่วง The Great Depression ที่เพียงแค่สองสามปีจากช่วงสูงสุด ราคาหุ้นตกลงมาเหลือร้อยละ 20 ธุรกิจล้มละลาย คนว่างงานร้อยละ 25 อยู่หลายปี นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด Alvin Hansen ทำนายว่าโลกของทุนนิยมกำลังเข้าสู่ช่วงถดถอยระยะยาว เพราะโอกาสในการลงทุนมีน้อยลง หรือ Stagnation Thesis ในความเป็นจริงไม่นาน อเมริกาและโลกสามารถฟื้นตัวแม้จะมีสงครามใหญ่ระดับโลกสองครั้งเป็นตัวสอดแทรก
Keynes เองก็มีส่วนที่มองโลกที่ดีเกินไป มองเห็นการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เป็นไปอย่างรวดเร็วในช่วงต้นทศวรรษที่ 20 เขามองว่าในช่วงอายุคนซึ่งไม่น่าจะนาน ระบบทุนนิยมคงสร้างความก้าวหน้า ทำให้คนมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ Keynes มองไปไกลก็เป็นห่วงเหมือน Hansen ว่าถึงตอนนั้นคนจะบริโภคน้อยลง เอาแต่ออม เป็น Rentier รอรายได้จากการไม่ต้องทำงาน เอกชนลงทุนน้อยลงซึ่งจะทำให้ระบบทุนนิยมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีรัฐมาทำหน้าที่ชดเชยการลงทุนของภาคเอกชนทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว Keynes มองถูกในเรื่องความสำคัญของอุปสงค์รวมที่มีต่อวัฏจักร หรือความไม่มีเสถียรภาพของทุนนิยม และชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของรัฐ
แต่ Keynes ก็คงนึกไม่ถึงว่าในระยะยาวเมื่อรัฐโตขึ้นในสังคมของประชาธิปไตย รัฐบาลและสังคมหรือกลุ่มผลประโยชน์ล้วนมีความโลภ มีกิเลส ทำให้รัฐใช้จ่าย มีหนี้สิน ขาดดุล (Democratic Deficit) จนสร้างปัญหาแก่ระบบอย่างที่คาดไม่ถึง เมื่อรัฐดำเนินนโยบายผิดพลาดและต้องมีความเจริญเติบโตและเสถียรภาพเป็นเป้าหมายหลัก ทุกหน่วยเศรษฐกิจเติบโตด้วยการสะสมหนี้อย่างไร้ขอบเขต Keynes มองผิดเรื่องความอุดมสมบูรณ์ เอาเข้าจริงผ่านมาเกือบร้อยปี ความมั่งคั่งความสมบูรณ์ยังมีลักษณะการกระจุกตัว เมื่อใดก็ตามที่รัฐไม่ใส่ใจหรือไม่มีนโยบายที่จะลดหรือจำกัดมันและปัญหาที่รุนแรงมากสำหรับอเมริกาในวันนี้ ในระดับโลกคนจำนวนมากยังอดอาหาร อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ตายก่อนเวลาอันควร
Joseph Schumpeter คือคนที่มองอเมริกาและยุโรปเป็นแม่แบบของทุนนิยมที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เรื่อยมาจนถึงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ความสำเร็จและความยิ่งใหญ่ในการสร้างความมั่งคั่ง ความก้าวหน้าทางวัตถุนี้แหละที่อาจจะหยุดยั้งหรือทำลายระบบทุนนิยมให้อยู่ไม่ได้ จนอาจจะเปลี่ยนสภาพเป็นระบบสังคมนิยมได้ในที่สุด Schumpeter ไม่เป็นห่วงเรื่องความไม่พอเพียงของอุปสงค์หรือการลงทุน ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของวัฏจักร ความไม่มีเสถียรภาพในระยะสั้น วิกฤติสามารถเป็นกลไกในการทำลายโครงสร้างเก่า ทั้งผู้ประกอบการ ผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต หรือเทคโนโลยี และสร้างสรรค์สิ่งใหม่เป็นกระบวนการ Creative Destruction
เนื่องจาก Schumpeter ให้ความสำคัญกับ Entrepreneur ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงแค่นักธุรกิจธรรมดา แต่เป็นผู้บุกเบิกเปลี่ยนสภาพความรู้หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ทั้งหลายให้เกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ในสินค้า และหรือกระบวนการผลิต การจัดการ สำหรับเขาการพัฒนาเศรษฐกิจก็คือการที่ประเทศมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ โดย Entrepreneur เขาเป็นห่วงโดยเฉพาะในระยะยาวในบริบทของอเมริกา เมื่อองค์กรหรือบริษัททุนนิยมมีขนาดใหญ่สลับซับซ้อนมากขึ้น ความเป็นสถาบันหรือการจัดองค์กรการบริหารที่มีขนาดใหญ่ มีลำดับชั้น หรือเป็น Bureaucracy มากขึ้น มันจะมาทดแทนและลดจิตวิญญาณ ความกระหาย ความหลงใหลหรือ Passion ของการมี Entrepreneurship ดั้งเดิมในระดับปัจเจก หรือครอบครัวโดยเฉพาะ เมื่อผ่านไปหลายๆ ช่วงอายุคน ความสำเร็จทำให้เกิดความเคยชินเฉื่อยชา ไร้จิตวิญญาณของผู้บุกเบิกที่เคยมี
Schumpeter ไม่ได้มองว่าระบบทุนนิยมจะอยู่ไม่ได้ เพราะทุนขูดรีดแรงงานจนมีชีวิตที่อับเฉาเหมือนที่ Marx คิดและทำนายไว้เพราะเขาคิดว่าระบบทุนนิยมมีระบบประชาธิปไตยที่การเมืองมีการแข่งขันในการเลือกรัฐบาลขึ้นมาจะเป็นกลไกต่อรองระหว่างทุนและแรงงานให้อยู่ด้วยกันได้ หัวใจสำคัญอยู่ที่ Productivity ในวิสาหกิจและอุตสาหกรรม ปัญหาที่ Schumpeter มองไม่เห็นและคาดไม่ถึงในกรณีของอเมริกาคือ ระบบการเมืองบางช่วงเวลาไม่สามารถเป็นกลไกในการจัดสรรรายได้และความมั่งคั่งระหว่างทุนและแรงงานประเภทต่างๆ อย่างเป็นธรรมได้
Piketty ในหนังสือ Capital เล่มใหม่มองไกลไปกว่า Schumpeter ถึงปัญหาของระบบทุนนิยมในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะในอเมริกา ถ้ารัฐไม่เปลี่ยนสภาพเป็นรัฐเพื่อสังคม หรือ Social State
ในบริบทของทุนนิยมอเมริกัน วิสัยทัศน์ของ Schumpeter และหรือรวมทั้ง Marx มีประเด็นที่น่าสนใจ มองได้ในหลายมิติ ทุกวันนี้เราไม่ได้เถียงกันแล้วว่าระบบทุนนิยมหรือระบบสังคมนิยม (ใช้ในความหมายแทนกันได้กับระบบคอมมิวนิสต์) อะไรดีกว่ากัน หรือเราเถียงกันน้อยลงว่าเมื่อระบบโซเวียตล่มสลาย หรือการสิ้นสุดลงของสงครามเย็น มันคือชัยชนะเด็ดขาดถาวรในการต่อสู้ของอุดมการณ์เสรีนิยมเป็นการสิ้นสุดลงของประวัติศาสตร์ หรือ End of History เหมือนที่ Fukuyama วาดภาพไว้
ผ่านมา 20 ปีแล้ว ปัญหาและอนาคตของทุนนิยม ไม่ว่ารูปแบบไหนรวมทั้งประชาธิปไตยในโลกและในอเมริกาไม่ได้สวยหรู ถ้า Schumpeter ยังมีชีวิตอยู่ เขาอาจจะมีกระบวนทัศน์ใหม่สำหรับทุนนิยมโลกและอเมริกา







