เมื่อเทคโนโลยีผสานการตลาด

ที่ซัมซุง ไม่แค่เพียงวิศวกรเท่านั้นแม้แต่ซีอีโอของบริษัทต้องเข้ารับการฝึกอบรม TRIZ
คำว่า “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” หรือการวิจัยเชิงวิชาการ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ใหม่ๆ และนำไปสู่การนำเสนอในการประชุม หรือตีพิมพ์ในวารสารวิชาการชั้นนำ อาจจะไม่เพียงพอเสียแล้ว โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการขยับฐานะทางเศรษฐกิจไปสู่ระดับที่สูงขึ้น และต้องสร้างมูลค่าจากความรู้ มากกว่าแรงงานราคาถูก สถาบันทางวิชาการต่างๆจึงต้องตระหนักว่า ที่ผ่านมามีเพียงผลงานวิจัยหรือการประดิษฐ์สิ่งใหม่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่จะสามารถผลักดันจนกลายเป็นนวัตกรรมได้ โดยเฉพาะงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ที่เริ่มต้นจากความรู้ ความสนใจ และความต้องการส่วนตัวของนักวิจัยหรือนักประดิษฐ์ (Inside Out) โดยไม่ได้คิดว่าจะนำไปสู่การใช้งานในเชิงพาณิชย์ หรือการนำไปใช้ประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้างตั้งแต่เริ่มต้น โอกาสที่จะต่อยอดและประสบความสำเร็จในการประยุกต์ใช้งานจึงค่อนข้างน้อย
แตกต่างจากโจทย์วิจัยหรือการคิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมักใช้ช่องว่างทางการตลาด และความต้องการของผู้บริโภค ตลอดจนการมองออกไปถึงสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นสิ่งชี้นำในการลงทุนวิจัยเพื่อให้ได้นวัตกรรมในท้ายที่สุด (Outside In) แต่กระนั้นก็ยังมีจำนวนองค์กรในภาคธุรกิจน้อยมาก ที่มีศักยภาพและความสามารถเพียงพอ ตลอดจนยังขาดความพร้อมด้านบุคลากรในระดับนักวิจัยและพัฒนาที่จะดำเนินการได้
ซึ่งโดยทั่วไป มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย ที่เต็มไปด้วยนักวิจัย และห้องปฎิบัติการที่พร้อมสำหรับการคิดค้นสิ่งใหม่ มีความเชี่ยวชาญชำนาญในการที่จะบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่มักคิดโจทย์งานวิจัยจากความชำนาญและความสนใจส่วนตัว ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของตลาด ในขณะเดียวกันก็ทำธุรกิจไม่เป็น คิดคำนวณต้นทุนไม่ถูก และไม่กล้าเสี่ยงในการลงทุนทางธุรกิจ
ในขณะที่บริษัทเอกชนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม ภาคการค้า หรือภาคบริการ จะมีความรอบรู้แนวโน้มตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค และการคิดคำนวณทางธุรกิจเพื่อสร้างกำไร แต่มีข้อจำกัดทางด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ และบุคลากรที่มีความสามารถด้านการวิจัย
การนำความสามารถของทั้ง 2 ภาคส่วน มาบูรณาการร่วมกัน (Collaborative Research) เพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ จะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่า ง่ายกว่า และเป็นแนวทางที่เหมาะกับประเทศกำลังพัฒนา เช่น ประเทศไทย ที่ยังมีองค์กรเอกชนที่มีความพร้อมทั้งวิจัย พัฒนา และการต่อยอดไปสู่ธุรกิจน้อยมาก
เมื่อคิดถึงนวัตกรรม จึงหลีกหนีไม่พ้นการตลาด แล้วคุณคิดว่าระหว่างนวัตกรรมและการตลาด อะไรสำคัญกว่ากัน ตอบได้ง่ายและอย่างรวดเร็วมากคือ ไม่มีอะไรสำคัญกว่ากัน เพราะทั้งสององค์ประกอบเป็นเสมือนคู่ที่ต้องคิดและเดินไปควบคู่กัน ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็ไม่สามารถจะทำให้เกิดความสำเร็จทางธุรกิจได้ (Innovation vs. Marketing: Balancing The Two Key Elements Of Business Success) ดังนั้นองค์กรนวัตกรรมจึงต้องศึกษาความเป็นไปได้ใน 2 ส่วนควบคู่กัน ได้แก่ ความเป็นไปได้ทางเทคนิค (Technology Feasibility) และความเป็นไปได้ทางธุรกิจ (Business Feasibility)
ก่อนอื่นคงต้องสำรวจความรู้ ความเข้าใจ ในนิยามและความหมายของนวัตกรรมกันก่อน จะได้มองไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน
Innovation = Invention + Commercialization + Diffusion
ดังนั้นถ้าใครมีความคิดอะไรใหม่ๆ และพัฒนาความคิดนั้นจนสำเร็จ เราเรียกขั้นตอนนี้ว่า "การประดิษฐ์คิดค้น (Invention)" สิ่งที่คิดค้นขึ้นอาจจับต้องได้ (tangible) หรือจับต้องไม่ได้ (intangible) ก็ได้ แน่นอนผลงานที่ได้อาจจะนำไปสู่เวทีประกวดแข่งขัน หรืออาจนำไปใช้เป็นการส่วนตัว บทบาทหลักในทางธุรกิจจะอยู่ที่ วิจัย/พัฒนา - จะนำไปจดทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางปัญญาตามกฎหมายหรือไม่ก็ได้
แต่เมื่อใดก็ตามที่ได้มีการพัฒนาต่อยอดให้มีความสมบูรณ์ขึ้น จนใช้งานได้ง่ายและใครๆก็ใช้ได้ จนอาจนำไปสู่การใช้ประโยชน์ทั่วไป ทั้งในทางสังคมหรือทางธุรกิจ เรียกขั้นตอนนี้ว่า "การพัฒนาต่อยอดเชิงพาณิชย์ (Commercialization)" บทบาทหลักในทางธุรกิจ คือ พัฒนาธุรกิจ พัฒนาผลิตภัณฑ์ วิศวกรรม เป็นต้น
กระนั้นคนทั่วไปอาจยังไม่ทราบ ว่ามีสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิมเกิดขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกระบวนการที่ทำให้เกิดการยอมรับและใช้งานกันแพร่หลายในวงกว้าง เรียกขั้นตอนนี้ว่า "การแพร่กระจาย (Diffusion)" ซึ่งแน่นอนบทบาทหลักในทางธุรกิจ คงหนีไม่พ้นการตลาด การขาย และการบริการ
การถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) จะเกิดขึ้นทันทีที่มีการนำผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ซึ่งมีรูปแบบวิธีการหลากหลายที่นิยมใช้กันนั้นมีดังนี้
- Licensing การซื้อสิทธิ์
- Joint venture การร่วมลงทุน
- Turn key project (Take Over) ซื้อโครงการที่เสร็จสิ้นแล้ว
- Foreign Direct Investment (FDI) การลงทุนข้ามชาติ
- Technical consortium and Joint R&D project ร่วมการงาน/โครงการ โดยนำความสามารถที่ต่างกันมาเสริมกัน
- Collaborative R&D หรือ Cooperative R&D agreement ความตกลงร่วมกันในการวิจัยพัฒนา หรือคิดค้นเรื่องใหม่ๆเฉพาะ
นี่คือตัวอย่างการให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยี หรือความรู้ใหม่ แล้วท่านรู้หรือไม่ว่า บริษัทซัมซุงกลายเป็นองค์กรนวัตกรรมชั้นนำของโลกได้อย่างไร What Makes Samsung Such An Innovative Company?
แน่นอนบริษัทแห่งนี้มีองค์ความรู้ เทคนิควิธีการทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และการออกแบบเชิงศิลปะ แต่มีเครื่องมือหนึ่งที่น่าสนใจคือ TRIZ หรือชื่อภาษาอังกฤษ theory of inventive problem solving เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ที่มีต้นกำเนิดแนวคิดและวิธีการจากรัสเซีย ซึ่งรัสเซียใช้แสวงหาแนวทางใหม่ๆในการแก้ไขความขัดแย้งที่เกี่ยวเนื่องกับเงื่อนไขทางเทคโนโลยีและความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน และจินตนาการนวัตกรรมที่จะนำมาสู่สิ่งใหม่ในอนาคตที่ดีกว่า
ที่ซัมซุงแม้แต่ซีอีโอของบริษัทต้องเข้ารับการฝึกอบรม TRIZ จากการนำเสนอผลงานต่างๆ พบว่าวิศวกรของบริษัทจะต้องเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าวประมาณ 15 วัน และทำโครงงานเฉพาะอีก 7 วัน ซึ่งทั้งหมดถือเป็นการลงทุนเพื่อพัฒนาคนและวิธีการทำงาน
สำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับนวัตกรรมและการจัดการนวัตกรรมในองค์กร สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ จะมีการจัดสัมมนา “Get Ready for Innovation Explosion” ในวันที่ 24-25 ก.ค. 2557 โดยได้รับเกียรติจาก Dr. Holger Kohl, Director of Corporate Management at Fraunhofer Institute for Production Systems and Design Technology (IPK), Berlin/Germany และวิทยากรชาวไทย ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์







