สื่อในฐานะ 'gate-keeper': สื่อต้องไม่ถูกคุกคาม-ประชาชนจึงได้ความจริง

ในการพบปะสนทนากับผู้บริหารสื่อกว่า 40 สำนักเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร
รองผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พูดถึงบทบาทของสื่อสารมวลชนในฐานะ “gate-keeper” ซึ่งปกติเป็นภาษาที่ใช้ในแวดวงนิเทศศาสตร์ มิใช่วงการทหาร
จึงน่าสนใจว่าท่านได้ศึกษาบทบาทของสื่อในสังคมมาไม่น้อยเช่นกัน
ประเด็นอยู่ที่ว่าการตีความคำว่า “gate-keeper” ตรงกับสื่อมวลชนอาชีพหรือไม่อย่างไร
ท่านบอกว่าเคารพในดุลยพินิจ วิจารณญาณของบรรณาธิการทั้งหลาย ที่จะเลือกข่าวสารที่สื่อสำนักนั้นเห็นว่าเหมาะสมกับกาลเทศะ ในสถานการณ์ที่บ้านเมืองยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ
ตอนหนึ่ง ท่านเลขาธิการ คสช. บอกว่า
“เราตั้งใจเข้ามาทำให้ประเทศชาติของเราเดินหน้าต่อไปได้ แต่ผมจะเดินหน้าต่อไปได้ก็ต่อเมื่อได้รับความร่วมมือจากทุกท่าน เพราะแม้มีสถานีโทรทัศน์เพียงแห่งเดียวไม่ร่วมมือ พวกผมก็คงไปไม่รอด...”
ก่อนหน้านี้ท่านบอกทำนองว่า “ถ้าสื่อให้เกียรติ คสช....คสช. ก็จะให้เกียรติสื่อ”
เป็นการสื่อสารที่พยายามจะให้เกียรติกันและกันพอสมควร ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่า คสช. กับสื่อมืออาชีพต่างเคารพในการทำหน้าที่ซึ่งกันและกัน ภายใต้กรอบแห่งความรับผิดชอบต่อสังคมบนพื้นฐานของหลักความเป็นมืออาชีพและจริยธรรม
สิทธิและความรับผิดชอบเป็นกรอบสังคมที่สื่อจะต้องรักษาไว้ ไม่ว่าในภาวะปกติหรือผิดปกติ และหาก คสช.เดินตามคำแถลงตั้งแต่ต้นว่า จะเข้ามาเพื่อแก้ไขวิกฤตบ้านเมืองเพื่อนำพาประเทศกลับสู่ภาวะปกติที่ระบอบประชาธิปไตยจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ย่อมจะต้องยอมรับบทบาทของสื่อมืออาชีพ ในการทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่อสาธารณชน
ทั้ง คสช. และสื่อต่างก็มีหน้าที่ต่อสาธารณชน จึงต้องเคารพในการทำหน้าที่ของกันและกัน เพราะท้ายที่สุดประชาชนก็จะตัดสินเองว่าใครทำหน้าที่ของตนอย่างไรในการบอกกล่าวความจริงและนำเสนอข้อเท็จจริงพร้อมกับความเห็นในการสร้างสังคมไทยเพื่อการปฏิรูปอย่างแท้จริง
ดังนั้น หาก คสช. เคารพในการทำหน้าที่ในฐานะ “gate-keeper” หรือ “ผู้รักษาประตูข่าวสาร” เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด ก็จะต้องยอมให้สื่อทำหน้าที่อย่างอิสระ ปราศจากการข่มขู่หรือคุกคาม อีกทั้งกติกาจะต้องชัดเจนว่าให้สื่อทำหน้าที่ตาม “สิทธิ” ที่ควบคู่ไปกับ “ความรับผิดชอบ” ดั่งที่ “นายประตูข่าวสารมืออาชีพ” พึงจะมี
Gate-keeper จะทำหน้าที่อย่างมืออาชีพเพื่อประโยชน์ของประชาชนได้นั้น จะต้องกลั่นกรองข่าวสารที่ถูกต้องแม่นยำ ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้รอบด้าน และนำเสนอความเห็นที่ครอบคลุมทุกด้านเพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับข้อมูลชุดใดอย่างไร
ประชาชนจะเชื่อว่า gate-keeper ทำหน้าที่ได้ดั่งที่สังคมคาดหวังก็จะต้องเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่า ไม่มีใครยืนกำกับสั่งการหรือข่มขู่คุกคาม “ผู้รักษาประตูข่าวสาร” อยู่ข้าง ๆ
และ gate-keeper ที่จะได้รับความเชื่อถือจากผู้รับข่าวสารได้ก็จะต้องเชื่อว่า “นายประตูข่าวสาร” กลั่นกรองข้อมูลรอบด้านและไม่ถูกบังคับให้นำเสนอเฉพาะข่าวสารด้านเดียวของผู้มีอำนาจเท่านั้น หากแต่ต้องพร้อมจะเป็นกระจกส่องสังคมให้เห็นด้านต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น
ทั้งที่เห็นพ้องและเห็นต่าง ทั้งที่สนับสนุนและเห็นแย้ง โดยมีเป้าหมายสร้างสรรค์เพื่อการ “ปฏิรูปสังคมไทย” อย่างแน่วแน่มั่นคง
เพราะสื่อที่รับผิดชอบไม่ใช่เพียงเป็นแค่ gate-keeper เท่านั้น หากแต่ยังจะต้องเป็น watchdog หรือ “หมาเฝ้าบ้าน” ที่ต้องเห่าเตือนเจ้าของบ้านว่ามีเหตุเภทภัยเข้ามาใกล้อย่างไร อีกทั้งยังต้องเป็น mirror หรือกระจกส่องสังคมที่ต้องสะท้อนถึงความจริง ทั้งที่ผู้มีอำนาจอยากเห็นอยากได้ยิน และที่ผู้กุมอำนาจรัฐไม่อยากเห็นไม่อยากได้ยิน แต่เป็น “ข้อเท็จจริง” ที่เกิดขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้
แต่ต้องไม่ลืมว่าหน้าที่ของ gate-keeper ของคนทำหนังสือพิมพ์, ทีวีและวิทยุ ปรับเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญเมื่อการไหลเทของข่าวสารผ่าน social media เกิดขึ้นโดย “ผู้บริโภคข่าว” กลายเป็น “ผู้ผลิตข่าว” เองได้ตลอดเวลา และข้อมูล anytime, anywhere ผ่านอินเทอร์เน็ตเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องผ่านการกลั่นกรองของ gate-keeper อีกต่อไป
นี่คือสัจธรรมแห่งสังคมยุคข่าวสารวันนี้ วันที่สื่อมืออาชีพยืนยันจะทำหน้าที่อย่างรับผิดชอบในทุกสถานภาพไม่ว่าจะเป็นหน้าที่กลั่นกรองข้อมูลก่อนผ่านสู่ผู้บริโภคในฐานะ “นายประตูข่าวสาร” หรือส่งเสียงเตือนสังคมเมื่อเห็นภัยมาในฐานะ “หมาเฝ้าบ้าน” ขณะที่พยายามสะท้อนความเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาในฐานะ “กระจกสังคม”
ยิ่งในภาวะ “ไม่ปกติ” สื่ออาชีพยิ่งจะต้องทำหน้าที่ทั้งสามบทบาทอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้น
ยิ่งมีเสียงซุบซิบว่ามีความพยายามจะ “ปิดกั้นข่าวสาร” สื่ออาชีพยิ่งต้องแสวงหา “ความจริงรอบด้าน” มานำเสนอ
เพราะหากสาธารณชนเกิดความเชื่อว่า สื่อถูกคุกคามให้เสนอข่าวแต่เพียงด้านเดียว ข่าวสารที่ปรากฏก็จะขาดความน่าเชื่อถือ และผู้คนก็จะแสวงหาข้อเท็จจริงผ่านสื่อ “ใต้ดิน” อื่น ๆ ที่ก็อาจจะบิดเบือนไปอีกด้านหนึ่ง
คสช.เคารพในเสรีภาพของสื่อมากเพียงใด ก็ยิ่งทำให้ข่าวสารที่ทางการต้องการจะสื่อกับประชาชนน่าเชื่อถือมากเท่านั้น
เพราะเสรีภาพของสื่อคือเสรีภาพของประชาชน
สัจธรรมข้อนี้ไม่เคยตาย ไม่ว่าในยามปกติ วิกฤตหรือในภาวะ “ไม่ปกติ” ที่ คสช.เชิญชวนให้คนไทยร่วมขบวนการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง
เพราะหากสื่อไม่เสรีหรือไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเหตุผลได้ ข้อมูลข่าวสารจากผู้มีอำนาจก็ไม่น่าเชื่อถือ ความสงสัยคลางแคลงก็ครอบงำสังคม ภารกิจ “เพื่อชาติ” ไม่ว่าจะมีความตั้งใจดีเพียงใดก็ไม่อาจสำเร็จได้







