สัญญะกับสื่อมวลชน

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ ปัจจุบัน เมืองไทยเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ทั่วโลกจับตามองถึงทิศทางการเปลี่ยนผ่านอันอาจนำไปสู่ต้นทางของการปฏิรูปที่นำอนาคต
อันสว่างสดใสและฟ้าใหม่มาให้กับประเทศ หรือจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ความขัดแย้งชุดใหม่ที่ยังคงต่อสู้กันอย่างไม่มีวันจบของผู้นำในสังคมไทย
ความขัดแย้งจนนำมาสู่การเข้ามาของทหารที่กำราบให้เกิดความนิ่งทางการเมืองไทยนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนไทยอย่างเราต้องร่วมกันรับผิดชอบ ซึ่งท่ามกลางมวลฝุ่นตลบฟุ้งในการเมืองไทยขณะนี้ เรายังคงดำรงไว้ซึ่งการแบ่งสี และความเกลียดชังขั้นไม่เผาผีกันอยู่อย่างยากจะแก้ไขได้ ซึ่งแน่นอนว่าในสังคมประชาธิปไตยนั้น การเห็นต่างไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด แต่ในความเห็นต่างที่พร้อมจะฆ่ากันและลงมือลงไม้กับฝ่ายตรงข้าม เพียงเพราะเขาไม่ใช่พวกเดียวกับตนคงจะเป็นมะเร็งร้ายของสังคม ที่อาจยกระดับไปสู่ความรุนแรงที่ทำให้คนไทยฆ่ากันเองด้วยอารมณ์และปราศจากเหตุผลที่หารู้ไม่ว่า เราลงไม้ลงมือกันด้วยเหตุใด อันอาจเป็นตราบาปของบ้านนี้เมืองนี้ไปอีกนาน
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความสงบนิ่งที่พยายามให้เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็ปรากฏความเคลื่อนไหวของกลุ่มคน ที่พยายามจะใช้สัญญะในการแสดงออก ในรูปแบบของ "อารยะขัดขืน" ซึ่งได้รับทั้งก้อนหินและดอกไม้จากผู้คนแวดล้อม โดยหากเราจะวิเคราะห์ไปยังการสื่อสารเชิงสัญญะที่เชื่อมโยงกับการรับรู้ของผู้คนนั้น สามารถเชื่อมไปสู่แนวคิดสัญญะวิทยาและการออกแบบงานศิลป์ของยุคหลังสมัยใหม่ ที่มิได้จำกัดอยู่เพียงความงามของงานที่แสดงออกมาเท่านั้น หากแต่ยังเชื่อมโยงกับผู้รับสารของงานชิ้นนั้นๆ ด้วย
การแสดงออกเชิงสัญญะตามหลักสัญญะวิทยานี้คือการใช้สัญลักษณ์เป็นภาพตัวแทนในการแสดงออกหนึ่งๆ ซึ่งผสมผสานทั้งความงามทางศิลปะแฝงซึ่งนัยของการตีความ โดยตามสูตรของทฤษฎีสัญญะวิทยานั้น การตีความจำเป็นต้องมีองค์ประกอบ อันได้แก่ สัญญะ (Sign) การตีความ (Hermeneutics) บริบท (Text) เวลา (Time) และพื้นที่ (Space) ซึ่งนับเป็นสูตรสำเร็จของความงามในงานศิลปะและการออกแบบยุคหลังสมัยใหม่ โดยจากการวิเคราะห์ของอาจารย์ชาตรี บัวคลี่ เห็นว่า การแสดงออกในเชิงสัญญะของศิลปะยุคหลังสมัยใหม่นี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการจัดวางตามหลักองค์ประกอบศิลป์เพียงเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึง การจัดวางบริบทแวดล้อม การแฝงสัญญะ และเวลาเพื่อการสื่อสาร และที่สำคัญคือ ความงามในการถอดรหัสของผู้ชม หรือ กลุ่มเป้าหมายของผลงานนั้นๆ ดังนั้น การแสดงออกเชิงสัญญะไม่เพียงแต่เน้นในส่วนของเนื้อหาของการแสดงออกเท่านั้น หากแต่ต้องถูกกาลเทศะ เหมาะสมทั้งในเชิงพื้นที่และเวลาอีกด้วย
การแสดงออกทางจุดยืนและแนวคิดทางการเมืองไทยที่ผ่านกว่าเกือบสิบปีนับได้ว่ามีการใช้สัญญะในการสื่อความและแสดงตัวตนอย่างมากมาย นับตั้งแต่การใช้เสื้อสีเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มและพวกพ้อง การใช้อุปกรณ์หน้ากาก ธงชาติ และนกหวีดแสดงความไม่เห็นด้วยกับอำนาจนำ รวมไปถึงการใช้กิจกรรมต่างๆ เช่น การจุดเทียน การโชว์หน้าอก การยืนอ่านหนังสือ หรือการชูสามนิ้วเพื่อบ่งบอกความไม่พอใจในระบบ ระบอบที่ตนดำรงอยู่ โดยการแสดงออกเชิงสัญญะเหล่านี้เอง หลายๆ ครั้งเป็นการหยิบยืมสัญญะสากลจากต่างประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องมีการตีความเพื่อให้เป็นที่รับรู้และเข้าใจของผู้รับสารชาวไทย ซึ่งอาจไม่เข้าใจกับความหมายของสัญญะเหล่านั้น
ในขณะเดียวกันการแสดงออกซึ่งสัญญะดังกล่าวยังต้องพึ่งพิงพื้นที่สาธารณะและเวลาการสัญจรของผู้คนที่เหมาะที่ควร เพื่อให้การแสดงออกซึ่งสัญญะดังกล่าวพบเห็นได้ง่ายและเข้าถึงผู้คนในวงกว้าง ดังนั้น พื้นที่ห้างสรรพสินค้าติดแนวรถไฟฟ้า ที่เกี่ยวเนื่องกับวิถีชีวิตคนเมืองจึงมักถูกใช้เป็นทางเลือกในการดำเนินกิจกรรมเชิงสัญญะทางการเมือง โดยอาจมีเจตนาบนฐานของการแสดงออกอย่างสงบหรือการสร้างความโกลาหลให้เกิดเป็นข่าว ซึ่งก็แล้วแต่เจตนาของผู้แสดงออกเชิงสัญญะเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม การแสดงออกของสัญญะที่ว่านี้นับเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่จำต้องพึ่งการทำงานของสื่อ โดยอาจจะอยู่ในรูปของสื่อมวลชนแบบดั้งเดิมจำพวกวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือสื่อใหม่อย่างสังคมออนไลน์เพื่อจุดกระแสกิจกรรมเชิงสัญญะเหล่านั้นให้เป็นที่รับรู้และยอมรับกับมวลชนผู้รับข้อมูลข่าวสาร ทั้งนี้ การตีความของคนไทยที่มีต่อสัญญะทางการเมืองในยุคปัจจุบันคงหลีกเลี่ยงไม่ได้กับอคติของสัญญะเดิมๆ ที่ฝังรากลึกมานับตั้งแต่มีความขัดแย้งทางการเมืองกว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมา กล่าวคือ แม้การแสดงออกซึ่งสัญญะทางการเมืองจะลื่นไหลเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ภายใต้พลวัตของกลุ่มคนที่อาจเปลี่ยนหน้า เปลี่ยนกลุ่มที่ตนสังกัดก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า กิจกรรมต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ถูกกำหนดสีด้วยทัศนคติของชาวบ้านผู้รับสาร ที่ส่วนใหญ่มองผ่านเลนส์สีอยู่เพียงสองกลุ่ม นั่นคือ ไม่เหลืองก็แดง
ดังนั้น แม้สัญญะทางการเมืองของแต่ละกลุ่มจะแสดงออกด้วยเจตนาของความบริสุทธิ์ใจที่ต้องการเห็นสังคมไทยพัฒนาไปในทางที่ศิวิไลซ์ขึ้น หากแต่ความขัดแย้งของเสื้อสีที่ดำรงมาอย่างยาวนานได้บั่นทอนการตีความของผู้รับสารส่วนใหญ่ให้จำกัดทางเลือกอยู่เพียงแค่สองขั้วของความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็น เหลืองหรือแดง, รักประชาธิปไตย หรือไม่เอาคอร์รัปชัน, กปปส.หรือรัฐบาล, นกหวีดหรือเสื้อแดง, สุเทพหรือยิ่งลักษณ์ ฯลฯ
การยังคงสถิตมั่นอยู่ในที่ตั้งเพียงแค่ 2 ฟากนี้เองทำให้นำมาสู่คำถามที่ว่า เกิดอะไรขึ้นกับทัศนคติและจุดยืนทางการเมืองของคนไทยในปัจจุบันนี้ที่ถูกจำกัดให้มีทางเลือกอยู่แค่ 2 ขั้วแบบสุดโต่ง ไร้เหตุผล และเต็มไปด้วยอารมณ์ที่นำไปสู่ทางตันเช่นนี้




