การจัดการทรัพยากรของชาติอาเซียน

การจัดการทรัพยากรของชาติอาเซียน

หากมองในระดับภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีทั้งความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติมากที่สุดภูมิภาคหนึ่งของโลก

ทั้งประเภทที่ใช้แล้วหมดไป (Non-renewable Resource) อย่าง แร่ธาตุ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และประเภทที่สามารถทดแทนใหม่ได้ (Renewable Resources) อย่างเช่น ป่าไม้ ดิน สัตว์ป่า และน้ำ เป็นต้น การที่ชาติอาเซียนอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาตินั้นถือว่าเป็นความโชคดีอย่างยิ่งโดยเฉพาะหากมองในแง่มุมทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าความรุ่มรวยในทรัพยากรธรรมชาติจะนำมาซึ่งรายได้มหาศาลโดยอัตโนมัติ หากแต่ต้องขึ้นอยู่กับกำกับทิศทางในการบริหารจัดการที่ถูกต้องเหมาะสมและมีประสิทธิภาพของรัฐด้วย

สำหรับชาติอาเซียน ทิศทางหลักของการบริหารจัดการทรัพยากรทางธรรมชาติคือการมุ่งนำทรัพยากรธรรมชาติที่ตนมีอยู่มาสร้างรายได้และใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และหลายประเทศยังเพิ่มการพึ่งพาทรัพยากรทางธรรมชาติในการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้นด้วยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกรณีของประเทศที่กำลังเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจ และยังมีทรัพยากรธรรมชาติเหลืออยู่มากอย่าง กัมพูชา ที่เพิ่งพบน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติหลายแห่งในบริเวณอ่าวไทย และขณะนี้ก็ได้ให้สัมปทานขุดเจาะแล้วหลายแห่ง ภายใต้การกำกับอย่างเข้มงวดของรัฐบาล เนื่องจากถูกปรามาสว่าจะไม่สามารถรับมือกับเสือสิงห์กระทิงแรดในแวดวงพลังงานข้ามชาติได้ เช่นเดียวกับที่เมียนมาร์ถูกรุมจีบรุมตอมจากทุนต่างชาติ จนต้องเร่งรัดปรับรูปแบบโครงสร้างการบริหารจัดการนโยบายด้านพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อให้ทันเกม

ในขณะที่เวียดนามมีนโยบายที่ต่างออกไป โดยให้รัฐวิสาหกิจของตนเองเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบ ซึ่งได้ปริมาณเกินความต้องการในประเทศ และสร้างรายได้เป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 20 ของ GDP แต่ปัญหาก็คือ เวียดนามยังคงต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ เนื่องจากโรงกลั่นไม่เพียงพอ ดังนั้น รัฐบาลจึงเร่งสร้างโรงกลั่นเพิ่มเติม 2 แห่ง ซึ่งจะแล้วเสร็จใน 10 ปีข้างหน้า

หรือในกรณีของลาว ซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมานั้น ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาที่พึ่งพิงการส่งออกทรัพยากรธรรมชาติและผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรธรรมชาติเป็นสำคัญ โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ซึ่งในปี 2555 มีมูลค่ารวมกว่า 1,630 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 65 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของในปีนั้น และจากการส่งออกกระแสไฟฟ้าเป็นมูลค่ากว่า 470 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 14,100 ล้านบาท) อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความย้อนแย้งกันของแหล่งรายได้ทั้งสองข้างต้นก็คือ การเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของเหมืองแร่ขนาดใหญ่กลับส่งผลสำคัญต่อการลดลงของพื้นที่ป่าต้นน้ำสำหรับการผลิตไฟฟ้า ยังมิพักต้องกล่าวถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม

ขณะที่ฟิลิปปินส์ซึ่งตั้งอยู่ในเขตภูเขาไฟทำให้มีแร่ธาตุเป็นจำนวนมาก ทั้งยังสามารถผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติได้ด้วย โดยปัจจุบันฟิลิปปินส์ติด 1 ใน 10 ผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออก แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น แต่ก็ต้องประสบปัญหาหลายประการ เช่น ปัญหาในด้านโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่เอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเหมือนแร่และการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติยังพัฒนาไปได้ค่อนข้างช้า และปัญหาการโจมตีของกลุ่มกองกำลังต่างๆ ในบางพื้นที่ เป็นต้น

แนวโน้มของการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติในของชาติอาเซียนนั้น ไม่เว้นแม้แต่ในกรณีของอินโดนีเซีย ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรประเภทนี้เป็นเวลาช้านานแล้ว และทรัพยากรทางธรรมชาติบางชนิดก็จะหมดลงในเวลาอันใกล้ อย่างเช่นในกรณีของน้ำมัน ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ว่า น้ำมันสำรองของอินโดนีเซียอาจเหลือพอใช้อีกไม่เกิน 20 ปีเท่านั้น หากยังไม่มีการขุดพบแหล่งน้ำมันใหม่ๆ ในเร็วๆ นี้ ทำนองเดียวกับในกรณีของถ่านหินที่อาจจะหมดลงภายใน 14 ปีข้างหน้า เนื่องจากปัจจุบันมีปริมาณสำรองอยู่ราว 5,300 ล้านตัน ในขณะที่ผลิตออกมาใช้วันละ 386 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินโดนีเซียได้มองเห็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติชนิดใหม่เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ประเทศ ซึ่งก็คือทรัพยากรสัตว์น้ำ ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดในอาเซียนภายใต้พื้นที่ทางน้ำกว่า 3.2 ล้านตารางกิโลเมตร แต่ทว่าที่ผ่านมาปัญหาใหญ่คือเทคโนโลยี และกิจการประมงที่ยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ทำให้ในปี 2555 รัฐบาลอินโดนีเซียจึงออกนโยบายพัฒนา “เศรษฐกิจสีฟ้า” เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมประมงของประเทศและช่วงชิงความได้เปรียบในกิจการประมง

ทิศทางที่ต่างออกไปจากเพื่อนสมาชิกอื่นๆ คือ บรูไน ซึ่งรัฐบาลกำลังพยายามลดการพึ่งพารายได้จากทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำมันซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากตระหนักว่า น้ำมัน (และก๊าซธรรมชาติ) อาจหมดลงภายในอีก 2 ทศวรรษ ทำให้บรูไนพยายามลดกำลังการผลิตน้ำมันลงจาก 250,000 บาร์เรลต่อวันมาอยู่ที่ประมาณ 160,400 บาร์เรลต่อวัน และพยายามปฏิรูปเศรษฐกิจและขยายฐานทางเศรษฐกิจให้กว้างกว่าเดิม โดยพยายามส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดย่อม ส่งเสริมการเกษตรและประมงเพื่อลดการนำเข้า การส่งเสริมผลักดันภาคธนาคารให้มีความแข็งแกร่งและเป็นศูนย์กลางทางการเงินและธนาคารอิสลามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงการพัฒนาภาคการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศอีกด้วย