ฤๅคือเงาปีศาจ

ฤๅคือเงาปีศาจ

เมื่อกว่า 3 ปีก่อน ผู้เขียนเคยนำเสนอมุมมองของ Oliver Wyman สำนักวิจัยที่ให้คำปรึกษาระดับโลก ที่เคยมองว่าเป็นไปได้สูงที่วิกฤติการเงินโลก

ที่เคยเกิดขึ้นในปี 2551-52 จะเกิดขึ้นอีกครั้งในปีหน้า โดยหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดวิกฤติคือการก่อกำเนิดของ “ภาคการเงินเงา” หรือ Shadow Banking ที่จะขยายตัวอย่างก้าวกระโดดในซีกโลกตะวันออก อันเป็นผลจากภาคการเงินซีกโลกตะวันตกเข้มงวดในประเด็นด้านกฎระเบียบมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็อัดฉีดเม็ดเงินผ่านมาตรการ QE จนทำให้เงินไหลทะลักข้ามโลกจนมาเกิดฟองสบู่ในสินทรัพย์ต่างๆ

แม้ Oliver Wyman จะไม่ได้ชี้ชัดว่าภาคการเงินเงาที่ว่านั้นคืออะไร แต่ภาพเศรษฐกิจการเงินในปัจจุบันก็ตรงดังคาดอย่างน่าใจหาย กระแสการปล่อยสินเชื่อที่สูงลิ่วและข่าวการเริ่มล้มละลายของธุรกิจบางแห่งในจีน ที่มีแนวโน้มว่าจะลามไปสู่ภาคการเงิน ทำให้มีความกังวลว่านั่นคือสัญญาณแรกของวิกฤติการเงินโลกอีกครั้งหรือไม่

หากพิจารณาในความหมายกว้าง อาจกล่าวได้ว่าภาคการเงินเงา คือ สินเชื่อที่ปล่อยโดยธุรกิจที่มิใช่ธนาคารพาณิชย์ และอาจมาในรูปแบบพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น (1) ตราสารทางการเงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุน (ทรัสต์) เพื่อที่จะลงทุนในโครงการที่จำเพาะเจาะจง (2) ตราสารทางการเงินที่ออกโดยกองทุนที่นำไปลงทุนในตลาดเงิน หรือจะเป็น (3) รูปแบบเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ใช้ทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น ระบบการโอนเงินผ่านมือถือและอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

หากพิจารณาในภาพรวมระดับโลก จะเห็นว่าภาคการเงินเงาในความหมายกว้างนี้เติบโตรวดเร็วมากถึงเกือบ 3 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (จาก 26 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มาเป็นประมาณ 71 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน) หรือหากพิจารณาในจีนเองนั้น จะพบว่าขยายตัวกว่า 40% ในปี 2555 เพียงปีเดียว

สาเหตุของความนิยมในตราสารเหล่านี้มี 3 ประการ ประการแรก ได้แก่ ความเข้มงวดของทางการโดยเฉพาะในโลกตะวันตกที่มีมากขึ้น ทำให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ยากขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องหันไปหาแหล่งเงินทุนใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเงินทุน วานิชธนกิจ รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่มีเงินสดเหลือและพร้อมที่จะลงทุน ทำให้เกิดตราสารหนี้ในรูปแบบใหม่ๆ ที่ลงทุนในโครงการเหล่านั้นโดยตรง เช่น ธุรกิจเหมืองแร่ ต่อเรือ พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น

ประการที่สอง เป็นผลจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทำให้พฤติกรรมในการทำธุรกรรมการเงินในอนาคตเปลี่ยนไป จากที่เคยต้องฝาก/ถอน/โอนเงินผ่านธนาคารพาณิชย์ ก็เปลี่ยนมาเป็นช่องทางใหม่ๆ เช่น อินเทอร์เน็ตและมือถือเพิ่มมากขึ้น โดยผู้ให้บริการอาจมีหรือไม่มีความสัมพันธ์กับธนาคารพาณิชย์ก็ได้

ตัวอย่างที่น่าสนใจได้แก่ ระบบ Paypal และระบบ Simple ที่เป็นระบบการทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ตและมือถือของสหรัฐ รวมถึงรูปแบบ Pre-paid Card ต่างๆ เช่น สตาร์บัคส์ แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ M-PESA ที่เป็นระบบการโอนเงินที่รวมทั้งการฝากเงินและปล่อยกู้ในเคนยา ที่มีลูกค้าเป็นจำนวนมากและหลากหลายกลุ่ม จนทำให้มีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 43% ของ GDP และมีปริมาณบัญชีเกือบเท่ากับบัญชีเงินฝากทั้งประเทศเลยทีเดียว

สาเหตุประการสุดท้าย ได้แก่ เกิดจากความต้องการของทั้งนักลงทุนและธุรกิจที่ต้องการเงินทุน โดยที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์มักมีปัญหา Maturity Mismatch หรือระยะเวลาของเงินฝากและเงินกู้ไม่เท่ากัน (ฝากมักจะสั้นกว่ากู้) ทำให้เกิดธนาคารพาณิชย์มักเกิดปัญหาสภาพคล่อง

หรือจะเป็นความต้องการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนในธุรกิจต่างๆ ซึ่งจะทำให้ระยะเวลาลงทุนเหมาะเจาะกับความต้องการลงทุน เช่น ธุรกิจต่อเรือในจีน ธุรกิจโรงกลั่นในอังกฤษ ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว ซึ่งการลงทุนเหล่านี้ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินในรูปแบบธรรมดา

แต่รูปแบบเหล่านี้มีความเสี่ยง 3 ประการ คือ หนึ่ง ธุรกิจที่ต้องการเงินทุนนั้น ในบางธุรกิจอาจเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่ เช่น ธุรกิจเหมืองถ่านหินและพลังงานแสงอาทิตย์ในจีน รวมถึงในบางครั้ง อาจเป็นการออกตราสารการเงินที่ผูกรวมสินเชื่อธุรกิจต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน ทำให้การบริหารความเสี่ยงทำได้ยากขึ้น สอง หากมีการบริหารจัดการไม่ดี อาจเป็นไปได้ที่จะเกิดปัญหา Maturity Mismatch อีกได้ โดยเฉพาะการออกตราสารอายุสั้น (ไถ่ถอนเร็ว) แต่นำมาลงทุนในโครงการอายุยาว และสาม อาจเกิดความเสี่ยงต่อภาวะล้มละลาย จากการไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ หากธุรกิจที่ต้องการเงินทุนประสบปัญหา ไม่ว่าจะเป็นตัวธุรกิจเอง บริษัทเงินทุนที่ออกตราสาร หรือจะเป็นธนาคารที่เป็นผู้แทนจำหน่ายก็ตาม

กระนั้นก็ตาม ในปัจจุบันทางการก็มีการคุมเข้มมากขึ้นโดยเฉพาะในจีน ไม่ว่าจะเป็นการห้ามไม่ให้ออกตราสารที่ผูกรวมหลายๆ โครงการเข้าด้วยกัน การห้ามธนาคารไม่ให้ทำธุรกรรมที่นอกเหนือจากงบดุล (ซึ่งมีความเสี่ยงสูง) รวมถึงต้องมีการกันสำรองเงินทุนในระดับสูงด้วย

นอกจากนั้น กระแสข่าวในช่วงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ในกรณีของจีน หากตราสารทางการเงินของธุรกิจขนาดใหญ่ใดๆ ที่จะล้มละลาย ทางการก็พร้อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ อันเป็นผลจากภาคการเงินจีนที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและมีปริมาณเงินฝากในระดับสูงเช่นกัน

กล่าวโดยสรุปคือ ภาคการเงินเงาในภาพรวมของทั้งโลกนั้นนับได้ว่ามีประโยชน์ต่อธุรกิจพอสมควร เนื่องจากสามารถเป็นแหล่งระดมทุน รวมถึงเป็นรูปแบบการบริการทางการเงินที่ธนาคารพาณิชย์โดยปกติเข้าไม่ถึง ซึ่งหากมีการบริหารความเสี่ยงอย่างถูกจุดแล้วจะเป็นการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินอย่างดี

แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือการกำกับดูแล และควบคุมมิให้เป็นการลงทุนอย่างสุ่มเสี่ยงเกินไป ซึ่งหากผู้กำกับนโยบายสามารถบริหารจัดการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรอบคอบรัดกุมแล้ว เงาของปีศาจตนนี้ก็จะกลายเป็นดั่งต้นไม้ใหญ่ เป็นแหล่งพักพิงทางการเงินให้กับธุรกิจน้อยใหญ่ในอนาคต

************

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัดอยู่