คนจริง

คนจริง

ไม่นานมานี้ มีคนเล่าเรื่องให้ผมฟังเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมฟังแล้วเกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วน

ถ้าพูดตามสำนวนนิยายกำลังภายในก็ต้องบอกว่า รู้สึกหัวร่อมิออก ร่ำไห้มิได้ มันอึดอัดคับข้องใจอย่างบอกไม่ถูก

เรื่องมีอยู่ว่า นายพลท่านหนึ่ง (ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับว่าเป็นทหารหรือตำรวจ) ร่วมโต๊ะอาหารกับลูกน้องยศระดับต่างๆ ขณะที่กำลังจะรับประทานต้มยำกุ้ง ด้วยความเร่งรีบคีบกุ้งใส่ปากโดยไม่ทันระวัง ทำให้ความร้อนจากตัวกุ้งลวกลิ้นลวกปาก จนต้องคายทิ้งออกมาทันทีแล้วร้องอุทานแก้ขวยว่า “กุ้งเน่า! กุ้งเน่า!” บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายจึงไม่มีใครกล้ากินกุ้งอีกเลยแม้แต่คนเดียว เพราะต้องร่วมแสดงให้เห็นว่า กุ้งทั้งหมดมันเน่าจริงๆ!

ในสังคมไทย เรามักจะเห็นลูกน้องเอาใจนายอย่างเต็มที่ คอยพินอบพิเทาให้ความเคารพ บางคนก็ถึงขั้นประจบสอพลอ หรือบางเวลาก็อาศัยจังหวะคอยหาเรื่องเพ็ดทูล เพื่อทำร้ายและทำลายคู่แข่งที่เป็นเพื่อนร่วมงาน พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นว่าคนจำพวกนี้ไม่มีจุดยืนใดๆ ไร้สัจจะกะล่อนปลิ้นปล้อน ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองล่องลอยไปตามกระแสแห่งอำนาจและผลประโยชน์ มีเพียงลมหายใจแต่ไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ พวกเขาอาจไม่รู้ตัวว่า พวกเขาน่าสงสารแค่ไหนที่ไม่สามารถมีจุดใดให้ยืนหยัดได้บนพื้นแผ่นโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล

คนที่จะมีจุดยืน คือ คนที่เข้าใจคุณค่าของตัวเองว่ามีประโยชน์ต่อสังคมอย่างไรบ้าง คนจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตสิ่งต่างๆ ให้แก่สังคม เช่น ร่วมสร้างปัจจัยหก (จากปัจจัยสี่ เดี๋ยวนี้ต้องมีปัจจัยห้า คือ ยานพาหนะ และปัจจัยหก คือเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัย) เป็นต้น ผู้ที่ไม่ทำงานไม่ร่วมกันผลิต ก็เป็นได้แต่ผู้เสพสุขจากการผลิตของบุคคลอื่นในสังคม ถือว่าเกิดมาเอาเปรียบผู้อื่น แม้ว่าจะเกิดมาบนกองมรดกมหาศาลของบรรพบุรุษก็ตาม

สำหรับผู้ที่ตระหนักในประโยชน์และคุณค่าของตนเอง ก็จะเป็นคนที่กล้ายืนหยัดในจุดยืนที่ถูกต้อง แทนที่จะยอมลดค่าตัวเองลงไปคอยเอาใจคนอื่นอย่างไร้ศักดิ์ศรี คนประเภทนี้จึงจะเรียกได้เต็มปากว่าเป็น “คนจริง”!

คนจริงที่เห็นคุณค่าของตนเอง ก็จะเห็นคุณค่าของผู้อื่นด้วยเช่นเดียวกัน แม้คนอื่นนั้นจะไม่มีประโยชน์ต่อเขาโดยตรง แต่ก็มีประโยชน์ต่อสังคมในด้านต่างๆ คนจริงจึงไม่ลบหลู่ผู้อื่น สุภาพอ่อนน้อมอย่างจริงใจไม่เสแสร้ง ส่วนพวกที่ชอบยกตนข่มท่าน ข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า เนื้อแท้แล้วก็คือคนมีปมด้อย ซึ่งจะกลัวการเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง จึงต้องการอวดเบ่งเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตนเอง และกลัวคนอื่นจะรู้อยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองมีจุดอ่อน ดังเช่น นายพลที่เล่าให้ฟังข้างต้น ก็เป็นคนที่ไม่กล้ายอมรับความจริงว่า ตัวเองก็ผิดพลาดบกพร่องได้ จึงต้องโวยวาย กลบเกลื่อนไว้ก่อน

อันที่จริง ในฐานะลูกพี่ใหญ่ควรจะแสดงความเป็นห่วงบอกลูกน้องว่า “มันร้อนมาก กินระวังหน่อยนะ” หรือถึงแม้จะหลุดปากร้องออกไปแล้วว่ากุ้งเน่า ก็ยังสามารถบอกให้ลูกน้องรับประทานกันต่อ เพราะกุ้งอาจจะเน่าแค่เพียงตัวนี้ตัวเดียวเท่านั้น แต่เพื่อรักษาหน้าตนเองกลับต้องทำลายลาภปากของลูกน้องทั้งโต๊ะ นี่แสดงว่าไม่ใช่วิสัยของ “คนจริง”

ถ้าแวดล้อมตัวเราเต็มไปด้วยคนจริง เราก็ไม่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน สามารถพูดคุยกันได้อย่างสบายใจและอย่างสง่าผ่าเผยเต็มปากเต็มคำ รวมทั้งสามารถติงเตือนกันได้ด้วยความปรารถนาดี โดยไม่ต้องเกรงบารมีจนไม่กล้าพูดความจริง

ลองเหลียวมองดูรอบๆ ตัว มี “คนจริง” อยู่ข้างๆ เราสักกี่คน!?