ธุรกิจการบินภายในประเทศของอินเดียกำลังอยู่ในช่วง Take Off จริงหรือ ?

คนไทยเราคงไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก แต่แขกอินเดียกำลังจะตื่นเต้นในเมื่อปลายเดือน พ.ค. 2557 นี้จะมีเครื่องบินสองชั้นแบบ Airbus A380
บินมาลงที่สนามบินกรุงนิวเดลีและสนามบินนครมุมไบเป็นครั้งแรก
ตามข่าววงในบอกว่า สิงคโปร์แอร์ไลน์ (SIA) จะเป็นสายการบินแรกที่เริ่มใช้เครื่องบิน Airbus A380 ให้บริการระหว่างสิงคโปร์-กรุงนิวเดลี และสิงคโปร์-นครมุมไบ วันละ 2 เที่ยวบิน หรือคิดเป็นสัปดาห์ละ 28 เที่ยวบิน เพื่อรองรับกับความต้องการที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาก็มีข่าวว่า ทั้งสายการบิน Lufthansa และ Emirates ต่างก็สนใจที่จะใช้เครื่องบินแบบนี้ให้บริการเช่นกัน แต่ทางการอินเดียยังคงกั๊กไว้ เพราะสายการบินแห่งชาติ (แอร์อินเดีย) ยังไม่มีเครื่องบินแบบนี้ให้บริการ การให้สายการบินอื่นใช้เครื่องบินขนาดใหญ่ให้บริการเข้าสู่ตลาดอินเดียก่อนย่อมทำให้ได้เปรียบสายการบินแห่งชาติของตน แต่ในที่สุดก็ไม่อาจทานกระแส เพราะต้องการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวมาอินเดีย เลยต้องยอมให้สายการบินอื่นเริ่มไปก่อนได้
การเริ่มบริการด้วยเครื่องบิน Airbus A380 สะท้อนว่าธุรกิจการบินภายในประเทศอินเดียกำลังสดใสจริงหรือ ?
ปัจจุบันธุรกิจการบินภายในประเทศอินเดียสร้างรายได้มากกว่า 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเป็นอันดับ 3 ของโลกภายในปี 2563 ในช่วงปี 2556 ที่ผ่านมามีจำนวนผู้โดยสารเดินทางภายในประเทศกว่า 61.4 ล้านคน แต่ประชากรอินเดียกว่า 96 % ก็ยังไม่เคยขึ้นเครื่องบินเลย เมื่อเศรษฐกิจอินเดียกำลังเติบโต ชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นและพอที่จะซื้อความสะดวกสบายในการเดินทางโดยเครื่องบิน อนาคตธุรกิจการบินภายในประเทศดูแล้วก็น่าจะสดใส
จากข้อมูลเดือน ธ.ค. 2556 ธุรกิจการบินภายในประเทศยังคงเป็นการแข่งขันกันระหว่าง 4 รายใหญ่ โดยมีส่วนแบ่งการตลาดตามลำดับ ดังนี้ IndiGo (28.2 %), Jet Airways (19.1 %), SpiceJet (19.1 %), Air India (19.0 %), GoAir (8.8 %) และ JetLite (5.5 %)
เมื่อเดือน ก.ย. 2555 รัฐบาลอินเดียได้ยอมให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนโดยตรง (FDI) ในธุรกิจการบินภายในประเทศได้มากขึ้น โดยสามารถถือหุ้นได้ถึง 49 % จึงมีสายการบินต่างชาติสนใจเข้ามาขยายธุรกิจเป็นอันมาก เช่น Etihad Airways จับมือกับสายการบิน Jet Airways ในขณะที่ Air Asia จับมือกับกลุ่มอุตสาหกรรม TATA เปิดสายการบินราคาถูกในอินเดียบ้าง ส่วนสิงคโปร์แอร์ไลน์ก็จับมือกับกลุ่ม TATA เปิดสายการบินใหม่อีกสายหนึ่งด้วย นอกจากนี้ Tiger Airways ของสิงคโปร์ก็กำลังคุยกับ SpiceJet อย่างไรก็ดี มิได้หมายความว่าสายการบินต่างชาติที่มาร่วมทุนจะสามารถมีสิทธิในการบริหารได้มาก เพราะกฎระเบียบของกระทรวงการบินพลเรือนอินเดียยังคงบังคับให้ประธานและกรรมการของบริษัทอย่างน้อย 2 ใน 3 ต้องเป็นคนอินเดีย แม้ต่างชาติจะถือหุ้นได้ถึง 49 %
ในขณะที่สายการบินต่างชาติกำลังรุกเข้ามาในอินเดีย แต่พัฒนาการหลายอย่างภายในประเทศดูจะสวนทางกัน สายการบิน Kingfisher Airlines ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2547 มีนายวิชัย มอลญ่า เจ้าของธุรกิจเบียร์ Kingfisher ของอินเดียเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็ล้มละลายถูกยึดใบอนุญาตทำการบินไปเมื่อ 31 ธ.ค. 2555 นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2557 อินเดียก็ถูกหน่วยงานด้านการบินของสหรัฐ (Federal Aviation Authority - FAA) ประกาศลดระดับความน่าเชื่อถือด้านความปลอดภัยลงไปอยู่ในขั้นที่ 2 (Category 2) ซึ่งทำให้อินเดียตกไปอยู่ในกลุ่ม 16 ประเทศ (อาทิ บังกลาเทศ กานา อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ฯลฯ) ที่ทางการสหรัฐฯ ต้องเฝ้าระวังเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยการบิน ทำให้ทั้ง Air India และ Jet Airways ซึ่งให้บริการเข้าสู่สหรัฐฯ ต้องถูกตรวจเข้มเมื่อลงจอดที่สนามบินในสหรัฐฯ
ส่วนแอร์อินเดีย สายการบินแห่งชาติก็เผชิญกับปัญหารุมเร้าหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการขาดทุนสะสมจากการดำเนินการมาเป็นเวลาหลายปีจนถึงปัจจุบัน หรือจากปัญหาทางเทคนิคของเครื่องบินโบอิงรุ่นใหม่ (Boing 787 Dreamliner) ซึ่งแอร์อินเดียมีอยู่ 5 เครื่อง และหวังที่จะใช้กู้สถานภาพและทำกำไรให้บริษัท แต่ก็ปรากฏว่าต้องจอดซ่อมบ่อยครั้งจนกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้โดยสารและทำให้สูญเสียโอกาสในการพลิกฟื้นทำกำไร
อย่างไรก็ดี ก็มีข่าวดีมาชดเชยบ้างหลังจากที่พยายามมากว่า 2 ปี โดยกลุ่มพันธมิตรการบิน Star Alliance ได้รับแอร์อินเดียเข้าเป็นสมาชิกน้องใหม่ของกลุ่ม ซึ่งจะเป็นผลดีในการยกระดับภาพลักษณ์ของแอร์อินเดีย และทำให้ผู้โดยสารของสายการบินในกลุ่ม Star Alliance ได้รับความสะดวกในการเดินทางต่อเครื่องบินภายในประเทศเมื่อแอร์อินเดียเป็นสายการบินที่ให้บริการเส้นทางภายในประเทศมากที่สุด อย่างไรก็ดี แอร์อินเดียก็คงต้องเร่งปรับปรุงเรื่องบริการเพื่อให้เข้ากับมาตรฐานของกลุ่มพันธมิตรด้วย
อีกประเด็นที่ยังคงต้องคอยเฝ้าดูคือเรื่องค่าธรรมเนียมการใช้สนามบิน โดยในช่วง 2-3 ปีก่อน รัฐบาลอินเดียได้เปิดเสรีให้บริษัทเอกชนเข้ามาร่วมทุนพัฒนาสนามบินนานาชาติ แต่ปรากฏว่าบริษัทที่ได้รับสัมปทานต่างต้องการที่จะเอาทุนคืนโดยเร็ว ก็เลยบีบการท่าอากาศยานของอินเดียขอขึ้นภาษีและค่าธรรมเนียมการใช้สนามบินมากกว่า 300 % จนทำให้สายการบินต่างๆ โอดโอย และต้องผลักภาระไปให้ผู้โดยสาร เมื่อจู่ๆ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 3 เท่า ผู้โดยสารที่ค่อนข้างอ่อนไหวในเรื่องราคาก็เลยคิดแล้วคิดอีกเปลี่ยนใจเดินทางแบบอื่นแทน กลายเป็นว่าสร้างสนามบินใหม่แต่จำนวนผู้โดยสารมิได้เพิ่มขึ้นอย่างที่คาดการณ์ ตอนนี้ก็คงต้องรอดูว่าหลังจากอินเดียมีรัฐบาลชุดใหม่แล้ว การท่าอากาศยานของอินเดียจะหันกลับมาจับมือกับบริษัทผู้ได้รับสัมปทานทบทวนเรื่องค่าธรรมเนียมสนามบินอีกหรือไม่
ใครที่มองธุรกิจการบินภายในประเทศอินเดียว่าสดใส คงต้องมองปัจจัยอื่นๆ เผื่อด้วยนะครับ







