สำหรับคนรุ่นใหม่ : ตัวอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าคำสอน

สำหรับคนรุ่นใหม่ : ตัวอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าคำสอน

ในสังคมไทยปัจจุบัน ปัญหาของวัยรุ่นคนรุ่นใหม่มีลักษณะรุนแรงและซับซ้อนมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางด้านกายภาพ เศรษฐกิจและสังคม เมือง ประกอบกับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเจริญเติบโตมีการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย จิตใจ และ อารมณ์ ทำให้วัยรุ่นประสบปัญหามากมาย เช่น ปัญหาเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรมากเพิ่มขึ้นทุกปี และอายุน้อยลงเรื่อยๆ ปัญหาการทำแท้ง ปัญหาโรคเอดส์ ปัญหาความรุนแรง เป็นต้น ทั้งนี้ ปัญหาที่สำคัญของวัยรุ่นในปัจจุบัน ได้แก่ ปัญหายาเสพติด ปัญหาที่เกิดจากการขาดความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกาย และปัญหาความรุนแรงซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากปัญหาครอบครัว สภาพแวดล้อมใกล้ตัวที่ชักจูงไปในทางไม่ดี

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้นึกถึงเพลง “แด่หนุ่มสาวผู้ร้าวราน” ของคุณจรัล มโนเพชร ซึ่งผู้เขียนขอยกตัวอย่างบางท่อนในบทเพลงมาเปรียบเทียบ ที่บอกว่า

“ในเวลาที่ดวงใจหดหู่ จะได้ใครมาดูมาบอกทาง คนจน

คนรวยย่อมจะมีช่องห่าง ที่เคลือบคลางแคลงใจและด่างดำ

คือทำนองล่องลอยในสายลม บอกความขมและต้อยต่ำ

ความเป็นจริงกลิ้งอยู่บนถ้อยคำ ที่ตอบคือช้ำและตีบตัน”

บทเพลงท่อนดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความหดหู่และการต้องการที่พึ่งทางจิตใจ กำลังใจ คำปลอบโยนที่อบอุ่นเพื่อมาคอยชี้นำหนทางที่ถูกต้องให้แก่เด็กหนุ่มสาวที่กำลังเผชิญกับปัญหาต่างๆ แต่ในความเป็นจริงที่ตรงกันข้าม ครอบครัวส่วนใหญ่สนใจเพียงการดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินที่สามารถจุนเจือในครอบครัวจนลืมใส่ใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะในครอบครัวชนชั้นแรงงานแบบหาเช้ากินค่ำหรือเกษตรกร เป็นไปได้น้อยมากที่เด็กที่จะได้รับคำปลอบโยนที่แสนหวานหรือคำแนะนำที่ปฏิบัติจริงได้

เพราะคนสมัยก่อนมีความเชื่อแบบเดิมๆ ว่า การดุด่าว่ากล่าว นั่นแหละคือคำสอน ซึ่งแตกต่างกับครอบครัวชนชั้นกลางและชนชั้นสูงบางกลุ่มที่มีความเข้าใจและทักษะในการพูดคุย อบรมสั่งสอนเด็กมากกว่าและดีกว่า ทำให้เห็นถึงความแตกต่างที่ชัดเจนว่าเด็กที่มีปัญหาส่วนใหญ่มักจะเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่ผู้ปกครอง ไม่ค่อยมีเวลาอบรมสั่นสอนเด็กมากเท่าไหร่นัก บางครอบครัว โยนปัญหานี้ให้โรงเรียนที่เด็กเรียนมากกว่าตนเอง

ยกตัวอย่างข่าวที่พึ่งเป็นประเด็นทางสังคมเมื่อเร็วๆ นี้ ที่มีข่าวลูกฆ่าพ่อแม่และน้องชาย ด้วยข้ออ้างที่บอกว่า ถูกแม่ดุด่าเรื่องผลการเรียนตกต่ำอย่างหนัก ทำให้โกรธแค้นและผูกใจเจ็บ จึงวางแผนยิงแม่ แต่กลัวพ่อและน้องชายจะตื่นมาพบ จึงฆ่ายกครัว 3 ศพ และที่เลวร้ายและน่าเศร้าใจเป็นที่สุดก็คือการวางแผนไว้ล่วงหน้าโดยไม่ยั้งคิดหรือไตร่ตรองใคร่ครวญ

ผู้เขียนมองว่า พ่อแม่ก็มีส่วนผิดด้วยในการอบรมสั่งสอนลูก เพราะโดยธรรมชาติแล้ว เด็กสมัยใหม่ไม่ชอบการดุด่าว่าบ่น (ที่ผู้ใหญ่เข้าใจว่าหวังดี) ในสังคมปัจจุบันการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากขึ้นไม่ว่าจะวัยไหนหรือเพศใด การใช้คำพูดแรงๆ ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเสมอไป และในข่าวอันเศร้าสลดที่บอกว่าแม่ได้ดุด่าเรื่องผลการเรียนประเภทเรียนไม่เอาถ่าน แต่ในอีกมุมหนึ่งดูเหมือนว่า จากการตรวจสอบเด็กที่ลงมือปิตุฆาต-มาตุฆาตเป็นคนที่เรียนดีพอสมควร แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของผู้เป็นแม่ ซึ่งถ้าเรามองในอีกมุมหนึ่ง ผลการเรียนย่อมทำให้พ่อแม่รู้สึกดี แต่สำคัญมากกว่านั้นก็คือการเป็นคนดีของสังคมและครอบครัว ผู้เขียนมองว่าในสังคมแบบนี้การสอนให้ลูกเป็นคนดี ซื่อสัตย์ และเคารพซึ่งกันและกันสำคัญยิ่งกว่าเกรดที่มีแต่เพื่อการแก่งแย่งชิงดีกันในอนาคต เหมือนที่สังคมเรากำลังเป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน การมองเห็นแต่ตนเองและพวกพ้องมากกว่าส่วนรวมเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก

นอกจากนี้ การที่ผู้เป็นแม่ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ในหอพักเพื่อจับผิดพฤติกรรมลูกชายจึงเป็นอีกแรงกระตุ้นให้ลงมือกระทำเรื่องเศร้าดังกล่าว โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนผลสะท้อนกลับของการอบรมเลี้ยงดูเด็ก ที่พ่อและน้องชายคือผละกระทบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเรามองดีๆ ภาวะอารมณ์ของเด็กที่เป็นคนลงมือฆ่าพ่อแม่ เขามีภาวะทางอารมณ์ที่คล้ายแม่แต่รุนแรงกว่าเนื่องจากความกดดันและมันส่งผลให้เขาต้องกลายเป็นจำเลยของสังคมในที่สุด เพียงเพราะการเอาใจใส่แบบผิดๆ ..

อีกประเด็นหนึ่งของบทเพลงที่ไม่อาจมองข้ามได้ คือในท่อนที่บอกว่า


“ความรวนเรแห่งทะเลสังคมง่ายจะล้มจะจมดิ่ง

ความเป็นคน อยู่บนการช่วงชิง เบื่อจะทิ้งก็อดตาย”

บ่งบอกและสะท้อนถึงสถานการณ์บ้านเมืองและชีวิตผู้คนปัจจุบันได้ชัดเจนที่สุด และความหมายของเพลงสะท้อนชีวิตหนุ่มสาววัยรุ่นที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ปัจจุบันของสังคมที่โหดร้าย กับการต้องก้าวข้ามความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่อยู่บนการช่วงชิงของนักการเมืองที่เป็นผู้ใหญ่ในสังคม ในขณะที่ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจทวีคูณมากขึ้น ปัญหาสังคมก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน การตอบสนองต่อการรับรู้ทางสังคมของวัยรุ่นน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาสนใจนั่นก็คือ เพศตรงข้าม เพื่อน เกมส์ สิ่งเสพติด วัยรุ่นปัจจุบันส่วนใหญ่มองปัญหาทางการเมือง รวมถึงปัญหาต่างๆ เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ จะมีเพียงกลุ่มน้อยเท่านั้นที่ตระหนักและพยายามศึกษา วิเคราะห์ปัญหาทางการเมืองในปัจจุบัน และวัยรุ่นที่สนใจการเมืองส่วนใหญ่จะอยู่ในเมือง ซึ่งต่างจากเด็กต่างจังหวัดที่ไม่อยากพูดถึงเรื่องการเมืองเลย ที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือวัยรุ่นในต่างจังหวัดส่วนใหญ่จะประสบกับปัญหาตั้งครรภ์ก่อนวัย ติดยาเสพติด มากกว่าเด็กในเมือง

ข้อเท็จจริงที่น่าเศร้าที่สังคมควรตระหนักให้มากยิ่งขึ้นก็คือ วัยรุ่นที่มีปัญหาส่วนใหญ่ไม่ได้รับการเอาใจใส่จากครอบครัวเท่าที่ควร ซึ่งส่งผลให้เด็กขาดความอบอุ่น การเอาใจใส่ การอบรมสั่งสอน ทำให้เด็กไว้ใจเพื่อนมากกว่าครอบครัว และ การไว้ใจเพศตรงข้ามมากเกินไป เกิดการตั้งครรภ์ในขณะที่ยังเรียนอยู่ สิ่งต่างๆ ส่งผลกระทบกับสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ และการต่อสู้แกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันทางสังคมก็เพิ่มขึ้นตามกัน โอกาสของคนที่พลาดก็น้อยลงตามการกระทำของตัวเอง

ดังนั้น ความเป็นจริงของสังคมปัจจุบัน จะโทษเด็กฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น คนที่เป็นพ่อแม่ ผู้ปกครองต้องถามตัวเองก่อนว่า เราทำอะไร พูดอะไร เข้าใจแค่ไหน ผู้ปกครองบางคนเอาแต่โทษเด็กว่าไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ไม่เคยเป็นตัวอย่างที่ดีเลย เพราะเด็กไม่ว่าจะวัยไหนเขาจะจดจำการกระทำ มากกว่าคำสอนที่แค่พูดพร่ำออกมา แต่คนพูดกลับ ไม่เคยเป็นตัวอย่างที่ดีเหมือนที่ตัวเองพยายามจะสอนลูกหลานคนรุ่นใหม่เลย

ผู้เขียนอยากให้สังคมเข้าใจมากขึ้นว่า ถ้าเราแก้ (ไข) ที่ตัวผู้ใหญ่ที่ชอบอ้างตัวเองว่าเป็นผู้รู้ ผู้อาวุโส ผู้มีประสบการณ์และผู้ที่ “อาบน้ำร้อนมาก่อน” ให้ปรับเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้เหมือนที่พยายามพร่ำสอนลูกหลานต่างๆ นานา ทั้งในเรื่องการตั้งใจเรียน การเป็นคนดีหรือการซื่อสัตย์สุจริต ก็จะดีไม่น้อย ถ้าคนที่พร่ำสอนลูกหลานทุกคนสามารถทำได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งปากเปียกปากแฉะพูดให้เสียเวลาเหมือนลมเพลมพัด เพราะเด็กวัยรุ่นคนรุ่นใหม่ชอบจะทำตามในสิ่งที่ผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างเองมากกว่าเพียงแค่คำพูด ดังคำกล่าวที่ว่า “ตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอน”

-----------

ข้อมูลนักเขียน : นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต