Flash Boys ของ Michael Lewis กับความจริงใน Wall Street

Flash Boys ของ Michael Lewis กับความจริงใน Wall Street

สัปดาห์นี้ในวงการหุ้น ไม่มีประเด็นไหนที่ฮิตเท่าหนังสือเรื่อง Flash Boys ของ Michael Lewis ที่เล่าถึงบรรดาเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่ง

ซึ่งตั้ง Exchange ของตนเองในการรับเทรดหุ้นจากขาเล็กและขาใหญ่ทั่วสหรัฐเพื่อมิให้บรรดา High Frequency Trader (HFT) ใช้ประโยชน์จากข้อมูลของตนเองได้ เพื่อให้สามารถเข้าใจกลไกการทำงานของเหล่า HFT ดังกล่าว ผมขอนำบทสรุปของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) และคณะกรรมการกำกับการค้าตราสารล่วงหน้าประเภทสินค้าโภคภัณฑ์ (CFTC) ที่ได้ร่วมกันจัดทำบทสรุปของเหตุการณ์เรื่อง Flash Crash ดังรูปที่ 1 ของตลาดหลักทรัพย์สหรัฐที่เกิดขึ้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2010 (ที่ผมเคยสรุปไว้เมื่อ 3 ปีที่แล้วกลับมาเรียบเรียงใหม่) ไว้ดังนี้

หน่วยงานทั้งสองได้แบ่งการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ดังกล่าวออกเป็นสามส่วน ได้แก่ หนึ่ง จากการตรวจสอบข้อสมมติฐานที่ว่า จริงหรือไม่ที่ มาตรการ "จุดระบายสภาพคล่อง" หรือ LRP ซึ่งเป็นจุดที่หากราคาหลักทรัพย์แกว่งตัวจนสูงหรือต่ำกว่าจุดดังกล่าว หลักทรัพย์ที่ว่าจะเปลี่ยนจากการซื้อขายผ่านตลาดอิเล็กทรอนิกส์มาสู่การซื้อขายในตลาดแบบ Floor-based Outcry จะมีส่วนทำให้ราคาหุ้นผันผวนรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม (แทนที่การแกว่งตัวของราคาจะลดลงเหมือน "กันชนลดความเร็ว" ดังที่ตั้งใจไว้) เนื่องจากอาจทำให้การซื้อขายในตลาดทั้งสองสลับไปมาแบบฟันปลา จนกระทั่งการรองรับสภาพคล่องของผู้ขายทำได้น้อยลง เรื่องนี้จากการตรวจสอบพบว่าสมมติฐานดังกล่าวไม่เป็นความจริง

โดยหากพิจารณาพื้นที่ซึ่งอยู่ใต้เส้นประในรูปที่ 2 จะพบว่าจากเหตุการณ์ LRP ทั้งหมด 83 ครั้ง มีเพียง 19 ครั้งที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก อาจต้องทำการดูดซับคำสั่งขายของหุ้น 12 ตัว ในทางกลับกัน สำหรับพื้นที่ซึ่งอยู่เหนือเส้นประ พบว่ามี LRP ถึง 64 ครั้งที่ตลาดอื่นๆ ได้ทำการสั่งซื้อขายหุ้นจำนวน 26 ตัว นับเป็นการบ่งบอกถึงข้อเท็จจริงที่ว่า LRP น่าจะมิได้มีส่วนทำให้ราคาหุ้นผันผวนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการซื้อขายหลักทรัพย์โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ตลาดอื่น ซึ่งไม่มีปัญหาสภาพคล่องแต่อย่างใด

ที่น่าสังเกต คือ แม้บริษัทหลักทรัพย์จะมิได้รับผลกระทบทางตรง จากการเปลี่ยนระบบซื้อขายจากมาตรการ LRP แต่โบรกเกอร์โดยส่วนใหญ่กลับมองว่าการที่ระบบ LRP ถึงจุดซึ่งต้องเปลี่ยนระบบการซื้อขายย่อมเป็นสัญญาณของการเกิดปัญหาสภาพคล่องเชิงระบบ จึงตัดสินใจหยุดการซื้อขายชั่วขณะ

ประการที่สอง สำหรับในมุมของบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น หรือ คน นั้น จากการสัมภาษณ์บริษัทหลักทรัพย์และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง พบว่าเหตุการณ์การร่วงลงของหุ้นแต่ละตัวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งได้รับการโปรแกรมให้ตรวจสอบข้อมูลที่ผิดพลาดโดยอัตโนมัติต้องหยุดทำงานลงชั่วขณะ เนื่องจากโปรแกรมตีความว่าระดับราคาที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมีสาเหตุมาจากปัญหาของทั้งระบบ ทำให้ภาพรวมของสภาพคล่องจากบริษัทหลักทรัพย์ลดลงอย่างรวดเร็ว ที่แย่ไปกว่านั้น คือ ความกังวลว่าคำสั่งที่ซื้อขายไปแล้วสำหรับหุ้นรายตัว ซึ่งราคาร่วงลงมากกว่าร้อยละ 10 จะต้องถูกยกเลิกในเวลาต่อมา ส่งผลต่อกิจกรรมการซื้อขายให้หยุดลงชั่วขณะ แน่นอนว่า สถานะความเสี่ยงในพอร์ตของบริษัทหรือกองทุนต่างๆ ณ ช่วงเวลานั้น ต้องมีการเปิดความเสี่ยงอยู่แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากซื้อหรือขายปิดสถานะดังกล่าวของตนเองไม่ทัน

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ดูเหมือนจะมีบทบาททำให้ดัชนีตลาดวูบหนักในช่วงบ่ายของวันนั้น ได้แก่ High Frequency Trader (HFT) ซึ่งเป็นบริษัทที่ค้าหลักทรัพย์ซึ่งตนเองเป็นเจ้าของ โดยส่วนใหญ่จะซื้อขายเมื่อเห็นช่องว่างของโอกาสในการทำกำไร จะเห็นได้ว่าช่วงที่ราคาหุ้นร่วงหนักที่สุด คือ 14.43-14.46 ซึ่งจะตรงกับช่วงที่ HFT ขายหนักสุด โดยในช่วงเวลาระหว่าง 14:45:13 ถึง 14:45:27 ทาง HFT ซื้อขายรวมกว่า 27,000 สัญญา คิดเป็นร้อยละ 49 ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมด แต่กลับมีปริมาณการซื้อสุทธิแค่ 200 สัญญา นั่นหมายถึง HFT ทำการซื้อขายไปๆ มาๆ กันเองเกือบทั้งหมด

นอกจากนี้ การซื้อขายหลักทรัพย์ในลักษณะการแตกคำสั่งซื้อขายออกเป็นคำสั่งย่อยๆ หรือ Broken Trade ยังส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์มีค่าเข้าใกล้ราคา Stub Quotes (ราคาหุ้นล็อตถัดจากหุ้นสุดท้ายที่เสนอขายไว้ที่ราคา 1 เพนนี หรือ Stub Quotes) บ่อยครั้งขึ้นรวมถึงในปริมาณที่มากยิ่งขึ้น เนื่องจากการแตกคำสั่งซื้อขายออกเป็นคำสั่งย่อย ย่อมส่งผลต่อคำสั่งที่ยังค้างอยู่ให้มีโอกาสเกิดการซื้อขายกันอย่างสมบูรณ์มากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ค้าหลักทรัพย์บางรายยังนำราคา Stub Quotes ดังกล่าวไปเป็นราคาอ้างอิงสำหรับหลักทรัพย์ที่ซื้อขายกันแบบที่มีคำสั่งของผู้ซื้อและผู้ขายจริงอยู่แล้ว แน่นอนว่า การซื้อขายกันดังกล่าว มีส่วนต่อการลดลงของราคาหลักทรัพย์อย่างรวดเร็วในตลาด

ประการสุดท้าย หากวิเคราะห์คำสั่งซื้อขาย หลักทรัพย์ ของหุ้น 4,920 ตัวในตลาดหุ้นสหรัฐ โดย แกนนอน แสดงค่ามัธยฐานของจำนวนหุ้นที่ทำการสั่งซื้อต่อเวลา 1 นาที ภายในช่วงราคาร้อยละ 5 จากราคาอ้างอิง และ แกนตั้ง แสดงอัตราส่วนของค่าต่ำสุดต่อค่ามัธยฐานของจำนวนหุ้นที่ทำการสั่งซื้อต่อเวลา 1 นาที ภายในช่วงราคาร้อยละ 5 จากราคาอ้างอิง แน่นอนว่า ยิ่งอัตราส่วนดังกล่าวมีค่าน้อยเท่าไร ก็จะสะท้อนถึงระดับสภาพคล่องของตลาดว่าแย่ลง จากข้อมูลพบว่า อัตราส่วนในแกนตั้งยิ่งน้อยลงเท่าใด ก็จะทำให้ระดับราคาของกลุ่มหุ้นดังกล่าวลดลงในปริมาณที่มากขึ้นเท่านั้น โดยระดับการลดลงสูงสุดของกลุ่มหุ้นดังกล่าวสูงถึงเกือบร้อยละ 40 นั่นคือ สภาพคล่องที่แย่ลงอย่างรวดเร็ว และระดับการแกว่งตัวของราคาที่กว้างมาก ส่งผลให้ราคาหุ้นลดลงอย่างรุนแรง

บทสรุปโดยย่อจากรายงานนี้ คือ ส่วนผสมของพฤติกรรมจิตวิทยาของตลาด ผลกระทบของ Stub Quotes ต่อการตั้งราคา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งถูกเขียนโปรแกรมให้ตรวจสอบความผิดพลาดของข้อมูลที่ได้หยุดทำงานลงชั่วขณะ ร่วมกันทำให้เกิดโรควูบของตลาด อย่างไรก็ดี น่าสังเกตว่า แม้ผลการตรวจสอบที่ทางคณะกรรมการวิเคราะห์ไว้จะทำได้อย่างละเอียด ทว่าผมยังไม่เห็นการทดสอบเชิงวิกฤติของตลาดดังกล่าว ส่งผลให้การประมาณระดับความรุนแรง รวมถึงหนทางการป้องกันและแก้ไข หากว่าเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายกันจะเกิดขึ้นในอนาคต (ซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้ไม่น้อย) มิสามารถทำได้ง่ายนัก

หากพิจารณาจากความสอดคล้องกันของรายงานฉบับนี้และหนังสือของ Lewis ผมคิดว่าเนื้อหาในหนังสือ Flash Boys ใช้รายงานชิ้นนี้ในการเขียนอยู่ไม่น้อยสำหรับ HFT ที่คอยแอบมองคำสั่งและใช้ประโยชน์จากข้อมูลใน Wall Street ครับ

------------------------------

หมายเหตุ : ผู้ที่สนใจเข้ารับการอบรมเรื่อง ‘การลงทุนด้วยข้อมูลเชิงมหภาค (Macro Investing) ระดับเบื้องต้น’ ในวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2557 ติดตามรายละเอียดได้ที่ www.facebook.com/MacroView LINE ID: MacroView และ bonthr.blogspot.com ครับ