โรงเรียนกับการสร้างจิตสำนึกสาธารณะ

ข่าวครึกโครมในแวดวงการศึกษาในปีนี้คงไม่มีข่าวใดที่สร้างความสนใจแก่สาธารณชนได้มากกว่าข่าวนักเรียนวงโยทวาธิต โรงเรียนสตรีวิทยา 2
หาทุนเพื่อนเดินทางไปแข่งขันที่ต่างประเทศ โดยใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสม ซึ่งต่อมามีผู้นำคลิปเสียงมาเปิดเผยว่า ผู้บริหารโรงเรียนมีส่วนรู้เห็นและสนับสนุนให้เด็กนักเรียนใช้วิธีการหาเงินทุนที่ไม่เหมาะสมนั้นด้วย การกระทำดังกล่าวเกิดผลกระทบในทางลบตามมาหลายอย่าง จนถึงวันที่บทความนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจที่ท่านผู้อ่านกำลังอ่านอยู่นี้ ก็เชื่อว่า เรื่องนี้ยังเป็นที่สนใจและวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่
โรงเรียนสตรีวิทยา 2 เป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพทางวิชาการที่ดีแห่งหนึ่ง โดยในการจัดอันดับโรงเรียนดีเด่น 100 อันดับของไทยก็อยู่ในลำดับก่อน 50 อันดับแรกทุกปี ลูกสาวของผู้เขียนก็เคยเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ในชั้นมัธยมปีที่ 1-3 ก็เป็นที่ประจักษ์ว่า ทางโรงเรียนได้สอนเด็กนักเรียนให้มีความรู้ความสามารถได้สมกับที่ได้รับการจัดอันดับไว้ในทุกๆ ปี ทั้งนี้ ผู้บริหารสูงสุดของโรงเรียนคือผู้อำนวยการนั้น เป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้ย้ายไปที่อื่นแล้ว ในปีเดียวกับที่ลูกสาวของผู้เขียนไปเรียนต่อมัธยมปีที่ 4 ที่โรงเรียนอื่นในปีการศึกษา 2556 ที่ผ่านมา
ที่ผู้เขียนได้ยกกรณีวงโยธวาทิตโรงเรียนสตรีวิทยา 2 ขึ้นมากล่าวถึงในครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาตำหนิหรือซ้ำเติมเด็กๆ และผู้เกี่ยวข้องแต่อย่างใด หากเพียงเพื่อเป็นตัวอย่างในการพิจารณาบทบาทของโรงเรียน ในการปลูกสร้าง “จิตสำนึกสาธารณะ” ซึ่งเป็นคำสมัยใหม่ ส่วนคำสมัยเก่าเมื่อสมัยผู้เขียนเป็นนักเรียนนั้น คือ “ศีลธรรมและหน้าที่พลเมือง” ผู้เขียนเชื่อว่า ทั้งสองอย่างนี้มีเนื้อหาและจุดมุ่งหมายเดียวกัน
ตำราวิชาการสมัยไหนๆ ก็ยังให้ความสำคัญกับสถาบันพื้นฐานสองสถาบันในการอบรมสั่งสอนพัฒนาคนให้เป็นคนดี นั่นคือ สถาบันครอบครัวอันเป็นหน่วยเล็กที่สุดของสังคม กับสถาบันการศึกษาซึ่งก็คือโรงเรียน วิทยาลัย มหิทยาลัย เป็นลำดับไป หากสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษาทำหน้าที่ได้ดีทั้งสองอย่าง โอกาสที่คนจะมีคุณภาพที่ดีเยี่ยมก็มีมาก หากสถาบันใดสถาบันหนึ่งทำหน้าที่บกพร่อง โอกาสที่คนจะมีคุณภาพน้อยลงก็มีมาก หากทั้งสองสถาบันทำหน้าที่บกพร่องพร้อมกัน คนก็ยิ่งจะมีคุณภาพน้อยลงไปอีก คุณภาพที่ว่านี้ก็คือ สามารถทำประโยชน์แก่ตน แก่ผู้อื่น แก่สังคม ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์ของส่วนรวม ทั้งศีลธรรมและกฎหมาย ฯลฯ นั่นเอง
ในสมัยที่ผู้เขียนเป็นเด็กนักเรียนนั้น วิชาที่ใช้พัฒนา “จิตสำนึกสาธารณะ” ของเด็ก ซึ่งนักเรียนต้องเรียนคือวิชาศีลธรรมและหน้าที่พลเมือง (ไม่แน่ใจว่า นักเรียนในโรงเรียนที่นับถือศาสนาอื่นนอกจากศาสนาพุทธแล้วจะได้เรียนศีลธรรมในศาสนาของตนหรือไม่ เพราะผู้เขียนเรียนในโรงเรียนที่มีแต่นักเรียนนับถือศาสนาพุทธ) วิชาศีลธรรมคือวิชาที่สอนให้รู้จักความดี ความชั่ว ให้เกรงกลัวต่อการทำบาปตามคำสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานที่ทำให้รู้จักเกรงกลัวการกระทำผิด และให้รู้จักการกระทำสิ่งที่ดีๆ วิชาศีลธรรมเป็นฐานของการทำความเข้าใจในวิชาหน้าที่พลเมือง โดยวิชาหน้าที่พลเมืองเป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่อง สิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ของคนที่มีต่อผู้อื่น ต่อส่วนรวม ต่อสังคม การเคารพและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ปฏิบัติเพื่อจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบ หากปราศจากซึ่ง “ความเกรงกลัวและความละอายต่อบาป” ที่ได้เรียนในวิชาศีลธรรมแล้ว ก็ยากที่จะ “ทำหน้าที่พลเมืองที่ดี” ได้ ทั้งสองวิชานี้จึงมีความเกี่ยวเนื่องสนับสนุนส่งเสริมกันและกัน
ปัจจุบันนี้เท่าที่ผู้เขียนได้ศึกษาเนื้อหาในหนังสือเรียนของลูก ไม่มีวิชาศีลธรรมและหน้าที่พลเมืองแล้ว มีแต่วิชาพระพุทธศาสนาซึ่งมีเนื้อหาเน้นไปในเรื่องพุทธประวัติและหลักธรรมคำสอน ไม่ได้สอนวิชาศีลธรรมคือการสอนให้ปฏิบัติตามหลักธรรมนั้นแล้ว ส่วนวิชาหน้าที่พลเมืองก็ไม่มีวิชาใดที่มีเนื้อหาเน้นให้รู้ถึงสิทธิหน้าที่ ความรับผิดชอบ ของคน (คือประชาชนและสมาชิกของสังคม) ไว้อย่างเด่นชัด การเรียนเรื่องกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบต่างๆ ของสังคม ก็มีน้ำหนักไปในทางให้รู้ข้อเท็จจริงมากกว่าที่จะสอนให้ปฏิบัติตาม
เนื้อหาในแบบเรียนมีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือครูซึ่งเป็นผู้สอน ซึ่งครูในสมัยที่ผู้เขียนเป็นนักเรียนนั้น นอกจากสอนให้มีความรู้ที่ปรากฏในแบบเรียนแล้ว ยังต้องสอนให้ปฏิบัติ ให้ทำตาม ด้วยการตอกย้ำพร่ำเตือนและก็ทำเป็นแบบอย่างให้เห็นด้วย
ปัจจุบันปรัชญาการศึกษาพัฒนาไปตามสมัยนิยม วิธีการเรียนการสอนเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมาก โรงเรียนของไทยสามารถผลิตนักเรียนที่มีความสามารถทางด้านวิชาการติดอันดับโลกได้แทบจะทุกสาขา หลักฐานก็คือการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ ซึ่งแต่ละปีมีนักเรียนไทยสามารถชนะการแข่งขัน ได้เหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง กันแทบจะทุกสาขาวิชา นอกจากนี้ยังมีนักเรียนไทยสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกได้เป็นจำนวนไม่น้อยทั้งระดับปริญญาตรี โท เอก ด้านดนตรีเช่นการแข่งขันโยธวาทิตก็สามารถชนะเลิศได้รับถ้วยรางวัลกลับประเทศกันแทบครั้งที่เดินทางไปประกวด
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ในขณะที่เราผลิตคนเก่งทางด้านวิชาการและอาชีพได้ติดอันดับโลกเป็นจำนวนมาก แต่ระดับการกระทำผิดกฎหมาย กฎเกณฑ์ ศีลธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ หรือเรียกรวมๆ ว่า “ศีลธรรมและหน้าที่พลเมือง” ก็มีสูงขึ้นด้วย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า การพัฒนาจิตสำนึกสาธารณะให้แก่คนในสังคมของเรานั้นล้มเหลวหรืออย่างไร
สถาบันครอบครัวกับสถาบันการศึกษาของเราทำหน้าที่บกพร่องกระนั้นหรือ คำถามนี้เป็นเรื่องที่ควรจะต้องใส่ใจอย่างจริงจัง โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาอันรวมเอา โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ไว้ด้วยกันนั้น ยังทำหน้าที่ในส่วนนี้อยู่หรือไม่ หากไม่ทำหน้าที่นี้แล้ว จะกลับมาทำหน้าที่นี้ใหม่หรือไม่ หรือว่าจะปล่อยไปตามยถากรรมโดยมุ่งแต่จะสร้างคนเก่งแต่ไม่สร้างคนดีกันต่อไป
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยังมีความหวังกับสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษาในการปลูกฝัง “ศีลธรรมและหน้าที่พลเมือง” เพื่อให้คนของเรามี “จิตสำนึกสาธารณะ” อยู่นะครับ หากทั้งสองสถาบันนี้ไม่ทำหน้าที่เป็นพื้นฐานก็ไม่มีส่วนใดในสังคมที่จะทำได้อีกแล้ว







