แง่คิดจากภาพยนตร์เรื่อง Even the Rain

ven the Rain (แม้กระทั่งน้ำฝน มันก็ยึดเป็นของบริษัท) เป็นหนังชีวิตโดยผู้กำกับผู้หญิงชาวสเปน ที่งดงามและกระทบความรู้สึกอย่างทรงพลังมาก
เป็นหนังแบบหนังซ้อนหนัง ที่มีแนวเรื่องทับซ้อนเกี่ยวโยงกัน 3 เรื่อง คือ 1. เรื่องทีมสร้างหนังจากต่างประเทศกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปถ่ายทำหนังย้อนยุคในโบลิเวียเรื่อง คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินเรือจากยุโรปเข้าไปปล้นทรัพยากรจากทวีปอเมริกาเมื่อ 500 ปีที่แล้ว 2. เรื่องที่ชาวพื้นเมืองอเมริกันอินเดียนแดงในโบลิเวียกำลังต่อสู้กับบรรษัทข้ามชาติที่เข้าไปลงทุนผลิตน้ำประปา ยึดแหล่งน้ำธรรมชาติ แม้กระทั่งน้ำฝนเป็นของบริษัท และเตรียมที่จะขึ้นราคาค่าน้ำประปาถึง 300% และ 3 เรื่องผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างที่เป็นเพื่อนสนิทกันต้องตัดสินใจว่าเขาจะเลือกอะไร ระหว่างการพยายามทำหนังที่ต้องการเสนอประวัติศาสตร์มีแนวคิดก้าวหน้าให้เสร็จ หรือการนักแสดงพื้นเมืองที่ติดพันอยู่กับการผู้ชุมนุม ต่อต้านบริษัทนายทุนที่กำลังถูกรัฐบาลปราบปราม
หนังเสนอเรื่องการกดขี่คนพื้นเมืองในอเมริกาใต้ทั้งในอดีต และปัจจุบัน ด้วยการบอกเล่าเรื่องราวผ่านทั้งฉากการแสดง และฉากที่เกิดขึ้นจริงในยุคปัจจุบันแบบตัดกันไปตัดกันมาเชิงเปรียบเทียบได้อย่างคมชัด และงดงาม คนเขียนบทชื่อ Paul Laverty เป็นชาวอังกฤษเชื้อชาวไอริช-สกอตแลนด์ ผู้เคยเขียนบทหนังเรื่อง The Wind That Shakes The Barley (เรื่องชาวไอริชลุกขึ้นสู้จักรวรรดินิยมอังกฤษ) เขาใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกาใต้หลายปีและค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้อยู่นาน ก่อนที่จะตกผลึกออกมาเป็นบทหนังที่กระชับ ทั้งเรื่องราวและการแสดงออกอารมณ์
ผู้กำกับ Iclar Bollain เป็นนักแสดง นักเขียนบท และผู้กำกับหนังผู้หญิงชาวสเปน เธอกำกับหนังเรื่องนี้ได้อย่างมีศิลปะและสื่อสารเรื่องราวได้อย่างมีพลัง นักแสดงทั้งที่เล่นเป็นโคลัมบัส เป็นบาทหลวงชาวสเปนคนหนึ่งที่ตกใจและไม่เห็นด้วยกับการกดขี่ขูดรีดคนพื้นเมือง และคนชาวอเมริกันอินเดียน ทั้งตัวนำและตัวประกอบแสดงได้สมจริง อย่างเป็นธรรมชาติมาก
ฉากและคำพูดที่สะท้อนภาพความเป็นมนุษย์ที่น่าสะเทือนใจ ฉากหนึ่งคือ ฉากการถ่ายทำหนัง ตอนที่คนพื้นเมืองที่ถูกทหารสเปนจับไปเป็นทาส ได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนกลุ่มหนึ่ง และพากันวิ่งหนีจากการถูกทหารสเปนและหมาไล่เนื้อตามไล่ล่า ตามท้องเรื่องในประวัติศาสตร์คือ หมาไล่เนื้อจะไล่ตามผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่อุ้มลูกเล็กลุยน้ำหนีทันและกัดกินเด็กทารกเหล่านั้น ผู้กำกับอธิบายผ่านล่ามให้ผู้แสดงผู้หญิงพื้นเมืองเข้าใจฉากที่จะถ่ายต่อไป ว่าเขาจะถ่ายภาพที่พวกเธออุ้มเด็กจริงๆ วิ่งลุยน้ำในตอนแรกเท่านั้น หลังจากนั้นจะใช้ตุ๊กตาแทนเด็กจริงๆ ล่ามซึ่งก็คือผู้แสดงนำชายที่เป็นผู้นำชุมชนทั้งในเรื่องที่แสดงและในชีวิตจริง พยายามอธิบายแล้วอธิบายอีก แต่นักแสดงพวกผู้หญิงอินเดียนผู้อุ้มลูกเล็กตัวจริงอยู่ ปฏิเสธที่จะแสดงต่อ และพากันเดินจากไป ทั้งๆ ที่พวกเธอยากจนและต้องการเงินค่าแสดงหนังมาก ผู้กำกับผู้เป็นปัญญาชนจากในเมืองงง ถามล่ามว่า พวกเธอไม่เข้าใจหรืออย่างไร ว่านี่คือการถ่ายทำหนัง พวกเขาไม่ได้ปล่อยให้หมาไปกัดกินเด็กจริง ล่ามตอบว่า “พวกเธอรับความคิดเรื่องที่จะปล่อยให้หมาไปกัดกินเด็กทารกไม่ได้ เป็นเรื่องเลวร้ายที่เหลือเชื่อที่มนุษย์ไม่น่าคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ”
เรื่องค่อยๆ ผูกพันกัน สะท้อนความขัดแย้งของตัวละครได้อย่างซับซ้อน ผู้อำนวยการสร้างติดสินบนให้ผู้แสดงนำชาวพื้นเมืองชายเพื่อขอให้เขาหยุดพักการเข้าร่วมชุมนุมประท้วงบริษัทน้ำประปาข้ามชาติราว 3 สัปดาห์ เพื่อถ่ายทำหนังให้เสร็จก่อน เพราะห่วงว่าผู้นำคนนั้นอาจจะถูกทำลายหน้าเสียโฉมหรือถูกจับไป ทำให้การถ่ายทำหนังมีปัญหา ผู้นำชุมนุมทำหน้าเฉยๆ ไม่ตอบรับตอบปฏิเสธ ผู้อำนวยการสร้างคิดว่าเขาควรจะยอมรับ แต่ผู้นำชุมชนทำเรียบๆ ไม่ปฏิเสธเงินเพราะเขาต้องการเอาเงินไปช่วยขบวนการ หลังจากนั้น เขาก็ยังไปร่วมประท้วงต่อจนถูกตำรวจจับไปขัง ผู้อำนวยการสร้างตามไปติดสินบนตำรวจ ขอตัวเขาออกมาแสดงต่อ ตำรวจตั้งเงื่อนไขว่าเมื่อถ่ายทำฉากที่เหลืออยู่จบ ตำรวจจะจับตัวเขากลับเข้าคุกตามเดิม
ในตอนสุดท้าย หนังเสนอภาพซ้อนถึงความขัดแย้งของปัญญาชนนักทำหนัง 2 คน คือผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้าง ว่าจะเลือกการทำหนังให้เสร็จ ซึ่งเป็นทั้งการลงทุนลงแรงครั้งสำคัญ ทั้งเป็นงานศิลปะที่เขาทั้ง 2 คน มุ่งมั่นจะทำ ให้เสร็จดี หรือจะเลือกช่วยลูกสาวผู้นำชุมชนที่กำลังบาดเจ็บจริงๆ ถึงขั้นอาจเสียชีวิตในที่ชุมนุมที่ทหารกำลังยิงใส่ประชาชนได้ ถ้าไม่มีใครช่วยขับรถพาไปส่งโรงพยาบาล ฉากที่เป็นไคลแมกซ์คือ ผู้อำนวยการสร้างซึ่งโดยเปรียบเทียบแล้วเป็นคนสนใจเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองน้อยกว่าผู้กำกับ ซึ่งตอนแรกพูดจาเป็นปัญญาชนหัวก้าวหน้ามากกว่า ตัดสินใจเสี่ยงชีวิตขับรถไปช่วยลูกสาวแกนนำผู้ประท้วงที่บาดเจ็บอยู่ในเขตที่กำลังมีการปราบปรามอย่างรุนแรง ไปส่งโรงพยาบาล ในขณะที่ทีมงานถ่ายทำหนังทั้งหมดกำลังจะขึ้นรถออกจากเมืองที่กำลังเกิดจลาจล ไปถ่ายทำที่เมืองอื่นต่อเพื่อความปลอดภัยและทำหนังให้เสร็จ
หนังจบลงตรงที่บริษัทข้ามชาติยกเลิกการลงทุน ซึ่งเหมือนกับว่าฝ่ายผู้ประท้วงชนะ แต่ก็จบแบบเศร้าๆ เพราะเป็นชัยชนะที่แลกมาด้วยการที่เจ้าหน้าที่รัฐบาล ยิงผู้ประท้วงตายและบาดเจ็บไปหลายคน หนังเรื่องนี้ถ่ายทำไม่เสร็จ เพราะทีมผู้แสดงตัดสินใจบินหนีกลับกันเกือบทั้งหมด ก่อนกลับผู้อำนวยการสร้างถามแกนนำผู้ประท้วงผู้เป็นนักแสดงนำคนหนึ่งว่า เขาจะทำอะไรต่อไป แกนนำตอบเรียบๆ ว่า เราก็คงพยายามจะมีชีวิตอยู่ต่อไป (Survive) เหมือนกับที่เราเคยทำกันมาโดยตลอด
การประท้วงเรื่องการแปรรูปกิจการน้ำประปาให้เป็นของบริษัทเอกชนเกิดขึ้นจริงในเมืองโคชาบัลบา ในโบลิเวียปี ค.ศ.2000 การประท้วงทำให้บริษัทเอกชนข้ามชาติถอนตัว แต่กิจการน้ำประปาที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของรัฐวิสาหกิจและรัฐบาลที่ทุจริตฉ้อฉลไม่สามารถให้บริการน้ำประปาได้พอเพียงอยู่ต่อมาหลายปี จนกระทั่ง อีโว โมราเลส ผู้นำสภาพแรงงานเกษตรชนเผ่าพื้นเมืองได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในอีก 6 ปีต่อมา รัฐบาลใหม่ปฏิรูปเศรษฐกิจการเมืองหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องการทำน้ำประปาและสุขาภิบาลเมืองให้ดีขึ้น ที่เมืองลาปาซ มีการโอนกิจการประปาเป็นของสหกรณ์ผู้ผลิตผู้บริโภค และทำให้สหกรณ์น้ำประปาแห่งนี้สามารถให้บริการเรื่องน้ำประปาได้ดีกว่าทุกเมืองในลาตินอเมริกา




