"แตกแยก" จาก "แตกต่าง" จริงหรือ?

"แตกแยก" จาก "แตกต่าง" จริงหรือ?

ในขณะที่บ้านเมืองของเรามีรอยร้าวที่ดูเหมือนจะลุกลามจนกลายเป็นความแตกแยกอันไม่พึงประสงค์ หลายคนโทษว่า “ความแตกแยก” นี้มาจาก “ความแตกต่าง”

ของผู้คน ความแตกต่างที่ว่านี้มีอะไรบ้าง ความแตกต่างทางสถานภาพทางเศรษฐกิจ? ความแตกต่างทางการศึกษา? ความแตกต่างทางเพศ? ความแตกต่างความคิด? ความแตกต่างทางเชื้อชาติ? ความแตกต่างทางอายุ? แล้วความแตกต่างเหล่านี้นำพาไปสู่ความแตกแยกจริงหรือ?

ดิฉันได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งได้ชื่อว่ามีความหลากหลายของประชากรมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก สมัยก่อนมีคนให้ฉายาประเทศสหรัฐอเมริกาว่าเป็น Melting Pot หรือ หม้อหลอม ซึ่งตอนหลังคนอเมริกากับไม่เห็นด้วยกับคำว่า Melting Pot เพราะสำหรับเขา เขาไม่ต้องการให้ความต่างของเขาถูกหลอมจนเสียความเป็นปัจเจกบุคคลของเขาไป แต่กับอยากรักษาความต่างของเขาให้สามารถอยู่กับเพื่อนร่วมชาติคนอื่นได้อย่างสันติและสร้างสรรค์ จึงมีคนเปลี่ยนมาเรียกอเมริกาว่าเป็น Salad Bowl หรือ ชามสลัด แทน เพราะผักแต่ละชนิดที่อยู่ในชามสลัดนั้นยังคงสภาพความเป็นผักของมันเองอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็สามารถอยู่ในชามเดียวกันได้ แถมยังเพิ่มมูลค่าของกันและกัน ซึ่งก็เปรียบเสมือนชาวอเมริกาที่อาจมีความแตกต่างทั้งทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว เพศและวัย แต่สามารถเรียนรู้การดำรงชีวิตร่วมกันในประเทศเดียวกันได้โดยไม่สูญเสียความเป็นตัวเองของเขา แถมยังนำความต่างมาสร้างสรรค์พัฒนาประเทศของเขาอีกด้วย

หลายๆ คำในภาษาอังกฤษที่บ่งถึงความแตกต่างนั้นล้วนแต่มีนัยในแง่ดีๆ เช่น diversity หรือ difference ขนาดว่าถ้าใครบอกว่าคุณเป็นคนที่สามารถ make a difference ให้ชีวิตคนอื่นได้ก็ถือว่าเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ของชีวิต เพราะคุณกำลังช่วยให้ชีวิตคนอื่นเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ความแตกต่างนั้นสำคัญต่อสังคมในทุกระดับ ยกตัวอย่างเช่น ในระดับองค์กร เมื่อก่อนหลายๆ คนเคยเชื่อว่าการที่จะรับพนักงานใหม่นั้นต้องหาคนที่เหมือนๆ กับพนักงานเก่าๆ จะได้สามารถปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรได้โดยไม่เข้ามาสร้างความขัดแย้งกับคนอื่นๆ แต่ปัจจุบันองค์กรเจ๋งๆ ในโลกได้พยายามรณรงค์ให้เฉลิมฉลองความแตกต่างหรือ diversity นั่น ก็เพราะลูกค้าของบริษัทก็มีความต้องการบริโภคที่แตกต่างกันไป ถ้าพนักงานที่รับมาไม่มีความแตกต่างกันเลยก็จะไม่เข้าใจความต้องการที่แตกต่างเหล่านั้นและไม่สะท้อนถึงความต้องการเหล่านั้นออกมาในสินค้าและบริการสู่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้บางบริษัทถึงกับมีโควตาที่จะรับพนักงานที่มีความแตกต่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ เรื่องสัญชาติ เรื่องอายุเพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทของเขามีความสมดุลแห่งความแตกต่าง (เรื่อง Understand the Importance of Diversity จาก Bloomberg Businessweek 12 มกราคม 2011)

ทำไมองค์กรต้องลงทุนถึงขนาดสร้างโควตาความเท่าเทียมกันให้กับทุกความต่าง หลายๆ งานวิจัยได้ศึกษาถึงผลกระทบของการสร้างความแตกต่างในองค์กร ยกตัวอย่างเช่นมีผลงานวิจัยได้เชื่อมโยงความแตกต่างทางเชื้อชาติและความแตกต่างทางเพศของบุคลากรกับการเพิ่มของรายได้ จำนวนลูกค้า และกำไร (เรื่อง Does Diversity Pay?: Race, Gender, and the Business Case for Diversity จาก American Sociological Review ปี 2009 โดย Cedric Herring แห่ง University of Illinois at Chicago) ผลประโยชน์ที่องค์กรได้รับจากความแตกต่างนั้นมาจากการที่บุคลากรขององค์กรสามารถนำความต่างมาสะท้อนและเข้าถึงความต้องการของลูกค้าและบุคลากรด้วยกัน นั่นเอง

หลายๆ บริษัทไม่เพียงแต่สร้างโควตาในการรับพนักงานเพื่อให้เกิดความแตกต่างในองค์กรเท่านั้น แต่พยายามลงทุนที่จะให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการแตกต่าง โดยขนาดลงทุนตั้งปณิธานที่จะเฉลิมฉลองความแตกต่างของบุคลากรเพื่อช่วยให้ทุกคนรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองต่อองค์กร ให้รู้ว่าโอกาสต่อความสำเร็จมีไว้ให้กับทุกความแตกต่างถ้าเขาต้องการ อย่างเมื่อไม่นานมานี้ ในโอกาสที่วันที่ 8 มีนาคม เป็นวันสตรีสากลหรือ International Women’s Day ดิฉันได้รับเกียรติไปเป็นวิทยากรให้กับบริษัทที่ปรึกษา Accenture สิ่งที่ดิฉันดีใจเป็นอย่างมากก็คือดิฉันได้เห็นพนักงานทั้งหญิงและชายมาเข้าร่วมกิจกรรมอย่างเปิดใจที่พร้อมจะเรียนรู้ถึงความแตกต่างของคนอื่น ดิฉันเชื่อว่าถ้าคุณสามารถเข้าใจและเข้าถึงความต่างของคนอื่นและดึงศักยภาพของเขามาใช้ คุณก็จะเป็นคนที่เก่งคน และคุณก็จะสามารถร่วมกันประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี

สำหรับดิฉัน ความแตกต่างไม่ได้นำพาไปสู่ความแตกแยก ตรงกันข้าม ถ้าเราสามารถร่วมกันเฉลิมฉลองความแตกต่างและนำความแตกต่างมาใช้อย่างสร้างสรรค์ สังคมในทุกระดับก็จะเจริญขึ้นได้ ความแตกต่างไม่ว่าในมิติไหนสามารถนำพามาซึ่งกระบวนการสร้างสรรค์ใหม่ๆ เรามาร่วมกันต้อนรับและเคารพความแตกต่างของเพื่อนร่วมโลกใบเล็กๆ ใบนี้กันเถอะค่ะ