วิกฤติที่ปลายฟ้า

ห่างเพียงไม่กี่ชั่วโมงบินจากโซชิ เมืองที่พลุแห่งการเฉลิมฉลองโอลิมปิกฤดูหนาวได้ทอแสงแพรวพราว เหตุการณ์นรกบนดินก็ได้อุบัติขึ้น
ที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตาย และนำไปสู่ความเสี่ยงของสงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจ เหตุการณ์นั้นคือการปฏิวัติประชาชนในยูเครน
เรื่องทั้งหมด เริ่มต้นจากการที่อดีตประธานาธิบดียานูโควิชได้ประกาศยกเลิกการทำข้อตกลงทางการค้ากับสหภาพยุโรป แลกกับเงินกู้จำนวน 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจากรัสเซีย ทำให้ประชาชนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าที่เกลียดรัสเซียออกมาประท้วงในกรุงเคียฟ ด้วยความสงบในระยะแรก แต่เมื่อเหตุการณ์ลากยาวข้ามปี ความรุนแรงก็อุบัติขึ้นเมื่อกองกำลังรัฐบาลเข้าขอคืนพื้นที่ในกลางเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบร้อยรายและบาดเจ็บกว่าพันคน และทำให้อดีตประธานาธิบดีหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ขณะที่รัฐสภาแต่งตั้งรัฐบาลรักษาการขึ้น
แต่แล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนมีนาคม โดยกองกำลังที่น่าจะเป็นของรัสเซียได้บุกยึดไครเมีย รัฐกึ่งปกครองตนเองทางตอนใต้ของยูเครน แม้เหตุการณ์จะสงบ แต่ก็ตึงเครียดมากขึ้นเมื่อรัฐสภาไครเมียได้จัดทำประชามติขอแยกตัวเองไปขึ้นกับรัสเซีย ขณะที่รัฐบาลกลางของยูเครนรวมถึงชาติตะวันตกที่หนุนหลังไม่ยอมรับ ทำให้ความเสี่ยงต่อสงครามภายในที่อาจลุกลามเป็นสงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจรุนแรงขึ้น ส่งผลทำให้ตลาดการเงินโลกปั่นป่วน
คำถามสำคัญคือ เหตุการณ์เหล่านี้มีโอกาสพัฒนาขึ้นเป็นสงครามระหว่างประเทศหรือไม่ ซึ่งก่อนจะตอบคำถามได้นั้น ความเข้าใจถึงเบื้องหลังในอดีต มุมมองด้านเศรษฐกิจ และแรงจูงใจของผู้นำรัสเซียเป็นสิ่งจำเป็น
หากย้อนไปในอดีต จะพบว่ายูเครนที่เป็นเหมือนรัฐกันชนระหว่างรัสเซียและยุโรปนั้นเคยเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัสเซียจนถึงปี 2534 เมื่อสหภาพโซเวียตแตก จึงได้ประกาศเอกราช แต่ปัจจุบัน ประชาชนกว่า 1 ใน 4 ยังเป็นเชื้อสายรัสเซีย และกว่า 1 ใน 3 ใช้รัสเซียเป็นภาษาหลัก ขณะที่ในแง่มุมมองทางการเมืองนั้น อาจกล่าวได้ว่าสามารถแบ่งประเทศเป็น 2 ฟาก โดยฟากตะวันตกที่ติดกับยุโรปนั้นต้องการให้ประเทศเข้าร่วมกับสหภาพยุโรป แต่ฝั่งตะวันออกยังพอใจที่จะอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัสเซีย ซึ่งการที่ประเทศถูกแบ่งเป็น 2 ฟากเช่นนี้ ทำให้ยากต่อการหาทางออกของวิกฤตปัจจุบันโดยง่าย
หากพิจารณาในแง่เศรษฐกิจแล้วนั้น จะพบว่ารัสเซียมีความสำคัญต่อยูเครนมาก ทั้งในฐานะ (1) คู่ค้าสำคัญ โดยเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญที่สุด (2) แหล่งพลังงานที่สำคัญ โดยกว่า 70% ของก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในยูเครนนำเข้าจากรัสเซีย และ (3) เจ้าหนี้ที่สำคัญ โดยเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่สุด ซึ่งทำให้ยูเครนอ่อนไหวหากรัสเซียคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ขณะที่ชาติตะวันตกก็ยังไม่พร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจต่อยูเครนอย่างเต็มที่
ในส่วนของแรงจูงใจของรัสเซียในวิกฤตครั้งนี้ ผู้เขียนวิเคราะห์ว่ามี 3 ประการคือ หนึ่ง ปัจจุบันสหรัฐได้ลดบทบาทตำรวจโลก สืบเนื่องจากวิกฤตการคลังในประเทศ จึงลดงบกลาโหมลง สอง การปฏิวัติประชาชนของยูเครนครั้งนี้ เป็นความเสี่ยงต่อรัสเซียอย่างยิ่งเนื่องจากอาจเกิดลัทธิ “เอาอย่าง” ได้ในประเทศรัสเซีย จึงต้องการสำแดงกำลังว่ายูเครน (หรืออย่างน้อยบางส่วน) ยังคงอยู่ภายใต้อาณัติรัสเซีย และ สาม ผู้นำรัสเซียคงคำนวณไว้แล้วว่า ทั้งยูเครนและชาติตะวันตกโดยเฉพาะยุโรปไม่น่าจะทำการตอบโต้ทางการทหารกับรัสเซีย เนื่องจากยังต้องพึ่งพาด้านเศรษฐกิจและพลังงาน ขณะที่ชาติตะวันตกยังต้องพึ่งพารัสเซียในการเจรจากับอิหร่านและซีเรีย
เมื่อศึกษาถึงเบื้องหลังพอสังเขป ผู้เขียนขอคาดการณ์ความเป็นไปได้ของสถานการณ์ความขัดแย้งของยูเครน โดยแบ่งเป็นสามสถานการณ์ใหญ่ๆ ดังนี้
สถานการณ์แรก หลังการทำประชามติรัฐไครเมียย้ายไปอยู่ภายใต้การดูแลของรัสเซีย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สหรัฐรวมถึงชาติตะวันตกอื่น ๆ คว่ำบาตรทางการค้าและการทูตรุนแรงขึ้น แต่ไม่ทำสงคราม ซึ่งจะทำให้ความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนรุนแรงขึ้น กระทบภาคการเงิน รวมถึงเศรษฐกิจรัสเซียรุนแรงขึ้นกว่าในปัจจุบัน ที่ทั้งดัชนีตลาดหุ้น รวมถึงค่าเงินรัสเซียตกไม่ต่ำกว่า 10% หลังการเข้าบุกยึดไครเมีย จนทำให้ธนาคารกลางต้องขึ้นดอกเบี้ยถึง 1.5% ในคราวเดียว ปัญหาเศรษฐกิจการเงินที่กระทบรัสเซียรุนแรงทำให้มีการเจรจาทางลับ เกิดข้อตกลงให้รัสเซียถอนทหารในที่สุด และทำให้ตลาดการเงินเริ่มสงบได้ในระยะสั้นโดยสถานการณ์นี้มีโอกาสเกิดขึ้นประมาณ 40%
สถานการณ์ที่สอง เป็นเช่นเดียวกับสถานการณ์แรก แต่รัสเซียจะยังคงทหารในไครเมียต่อไป รวมถึงเป็นไปได้ที่จะใช้ไครเมียเป็นโมเดลกับการเข้ารุกในจังหวัดภาคตะวันออกอื่นๆ ในยูเครน (ที่ประชาชนมีแนวโน้มสนับสนุนรัสเซีย) ทำให้สถานการณ์ลากยาว และความผันผวนทางการเงินได้ลุกลามเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่อื่นๆ โดยสถานการณ์นี้มีความเป็นไปได้ 50%
สถานการณ์สุดท้าย คือเกิดสงครามขึ้น โดยชาติตะวันตกใช้กำลังผ่าน NATO เข้ารบกับรัสเซียเพื่อบังคับให้รัสเซียถอนทหารจากยูเครน ซึ่งจะทำให้ตลาดการเงินผันผวนและตกต่ำอย่างรุนแรง โดยมีความเป็นไปได้ประมาณ 10%
ไม่ว่าสถานการณ์ต่อไปจะเป็นเช่นไร ความรุนแรงได้อุบัติแล้วและจะขยายวงกว้างต่อเนื่อง นักธุรกิจและนักลงทุนทั้งหลาย จงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด




