ใครคนนั้นคือใครบน MH 370?

วันนี้ย่างเข้าวันที่ 10 ที่เที่ยวบิน MH370 ของสายการบิน Malaysian Airlines หายไป แบบไร้ร่องรอย
กลายเป็นประเด็นร้อนที่มี “ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด” มากมายหลายข้อที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้
วิเคราะห์จากถ้อยแถลงของ นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ของมาเลเซียเมื่อวันเสาร์ เขาเชื่อว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุแน่นอน เพราะมี “ความจงใจที่จะให้เครื่องบินออกนอกเส้นทางบิน” และบินต่อไปอีกประมาณ 7 ชั่วโมง
นาจิบ ราซัค ไม่ยอมใช้คำว่า Hijack แต่ตีความได้ไม่ยากว่าเขาหมายถึงการ “บังคับ” เครื่องบินให้ออกนอกเส้นทาง ซึ่งหนีไม่พ้นคำว่า “จี้” อยู่ดี
เพียงแต่ว่าคน “จี้” นั้นเป็นนักบินหรือผู้ช่วยนักบินที่อยู่ในห้องนักบิน หรือเป็นผู้โดยสารที่เข้ามาในห้องนักบิน
ที่เชื่อว่าเหตุเกิดในห้องนักบิน เพราะมีการปิดระบบการสื่อสารทั้งสองระบบ เพื่อไม่ให้เรดาร์จับได้ และไม่สามารถติดต่อกับภาคพื้นดินที่ไหนได้
หากเครื่องบินอยู่บนเวหากว่า 7 ชั่วโมง ก็คาดเดาได้ว่าน้ำมันจะเริ่มร่อยหรอ ต้องหาทางลงเติมน้ำมันหรือไม่?
นายกฯมาเลเซียใช้คำว่า “deliberately diverted from its planned route”
เขาบอกว่าดาวเทียมที่โคจรอยู่ที่ระดับความสูง 35,800 กิโลเมตร เหนือมหาสมุทรอินเดียได้รับสัญญาณจากเครื่องบินจากจุดใดจุดหนึ่งระหว่างแนวโค้ง 2 แนว
แนวโค้งแรกอยู่ระหว่างทางใต้ของคาซักสถาน ในเอเชียกลางกับทางเหนือของประเทศไทย
และแนวโค้งที่สองอยู่ใกล้จาการ์ตาของอินโดฯ กับมหาสมุทรอินเดีย ประมาณ 1,200 กิโลเมตร ไปทางตะวันตกของออสเตรเลีย
“ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สอดคล้องกับความจงใจของใครบางคนบนเครื่องบินลำนั้น” นายกฯมาเลเซียบอก
ระบบสื่อสารแรกบนเครื่องบินถูกปิดไป ขณะที่เครื่องบินอยู่เหนือทางตะวันออกเฉียงเหนือของมาเลเซีย
และไม่กี่นาทีต่อมา ระบบสื่อสารที่สองก็หยุดกระทันหันในการส่งสัญญาณเกี่ยวกับจุดที่ตั้ง ความสูง ความเร็วของเครื่องบินและข้อมูลอื่น ๆ ขณะที่เครื่องบินอยู่ ณ จุดบนอ่าวไทยระหว่างมาเลเซียกับเวียดนาม
ยืนยันตรงกันหลายแหล่งข่าวว่า หลังจากขาดการติดต่อกับภาคพื้นดินแล้ว เที่ยวบิน MH370 ก็ปรับระดับการบินอย่างมีนัยสำคัญ และเปลี่ยนเส้นทางบินมากกว่าหนึ่งครั้ง เสมือนหนึ่งว่ายังอยู่ภายใต้การควบคุมของนักบิน
เส้นทางที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่จะมุ่งไปทางเหนือสู่ปักกิ่งนั้น คือหันหัวไปทางตะวันตกผ่านทางเหนือมาเลเซียหรือทางใต้ของไทย และแฉลบไปทางเหนือของช่องแคบมะละกา ก่อนจะไต่ความสูงขึ้นไปบินเหนือมหาสมุทรอินเดีย
ผู้เชี่ยวชาญด้านทหารบอกว่า เครื่องบินลำไหนที่บินผ่านบริเวณนั้นยังไง ๆ ก็ต้องเข้าสู่เครือข่ายป้องกันทางความมั่นคงของอินเดียกับปากีสถานและอัฟกานิสถาน ซึ่งสหรัฐฯและสมาชิก NATO มีฐานทัพอากาศอยู่อย่างหนาแน่น พร้อมอุปกรณ์ตรวจตราความผิดปกติของเครื่องบินที่ผ่านไปมาอย่างละเอียดถี่ยิบอยู่แล้ว
เท่าที่ตรวจสอบดู ฐานทัพอากาศในบริเวณใกล้ ๆ แถบนั้นมี Bagram Airfield ของสหรัฐฯในอัฟกานิสถาน และ Hindon Air Force Station ของอินเดีย ซึ่งควรจะจับสัญญาณความผิดปกติของเที่ยวบินนี้ได้ หากทุกอย่างเป็นไปตามวิธีปฏิบัติทางอากาศ
แต่เมื่อไม่มีใครจับสัญญาณอะไรได้เลย ก็แปลว่าคนที่อยู่บนเที่ยวบินนี้ สามารถปิดระบบสื่อสารได้อย่างแนบเนียนเช่นนี้ จะต้องเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการบินและเส้นทางการบินอย่างยิ่ง
และต้องมีความเข้าใจระบบการทำงานของ Boeing 777 อย่างดียิ่งอีกด้วย
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ไปที่นักบินหรือผู้ช่วยนักบิน...ไม่ว่าจะทำเองหรือถูกบังคับให้ทำก็ตาม
การที่ตำรวจมาเลเซียพบเครื่องบินจำลองระบบการบิน หรือ flight simulator ที่บ้านของกัปตันเที่ยวบินนี้ อาจจะเป็นหลักฐานที่นำไปสู่การสืบสวนความลี้ลับครั้งนี้ แต่ก็เคยพบว่านักบินคนอื่น ๆ ที่สนใจการบินอย่างมากก็มี “เครื่องเล่น” อย่างนี้ที่บ้านเหมือนกัน
หากเชื่อตามที่นายกฯมาเลเซียแถลง คำถามต่อไปก็คือว่า แล้วเครื่องบินลำนี้ไปร่อนลงที่ไหน?
หากตกลงในมหาสมุทรอินเดีย, ก็จะต้องพบซากของเครื่องบินหรือศพผู้โดยสารหรือพนักงานบนเครื่องบินบ้าง แต่การค้นหาถึงวันนี้ (ขณะที่เขียนคือสาย ๆ วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม) ก็ยังไม่เจอร่องรอยอะไรเลย
หรือหากเครื่องบินไม่ตกลงในทะเล ก็จะต้องร่อนลงที่ไหนสักแห่ง แต่ก็ไม่มีรายงานจากจุดไหนของโลก
หากเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้าย ก็จะต้องมีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งประกาศอ้างว่าเป็นผลงานของตนเอง และแถลงถึงเป้าหมายที่ทำเช่นนั้น แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำแถลงจากกลุ่มใดในโลก
ทฤษฎี “สมรู้ร่วมคิด” หลายข้อที่มีผู้คนแสดงความเห็นออกมาก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการคาดเดาว่ามีการยิงทำลายเครื่องบินนี้ด้วยขีปนาวุธทำลายล้างสูงหรือ “มนุษย์ต่างด้าว” จี้เครื่องบินลำนี้หายไปจากโลกใบนี้
ยังไงก็ต้องย้อนกลับไปแสวงหาคำตอบว่า
“ใครคนนั้น” ที่สามารถปิดระบบการสื่อสารทั้งสองระบบในจังหวะที่ทำให้ “เที่ยวบิน MH370 หายไป” ได้นั้นคือใคร? เขาทำเองหรือใครสั่งให้ทำ? และเขาทำเพื่ออะไร?
ผมยังเกาะติดแสวงหาคำตอบต่อไป จนกว่าจะมีความชัดเจนครับ เพราะคนทั้ง 239 ชีวิตอยู่ดี ๆ จะหายไปจากโลกนี้ไม่ได้ครับ







