คนรุ่นเก่าเสียสละ : คนรุ่นใหม่อาสา

คนรุ่นเก่าเสียสละ : คนรุ่นใหม่อาสา

ณ เวลานาทีนี้น่าจะเป็นที่เห็นพ้องต้องกันแล้วว่า สังคมไทยอยู่ในสภาวะที่ทรุดโทรมเป็นอย่างยิ่ง เหมือนบ้านที่จะพังแหล่มิพังแหล่

เพราะคนในบ้านมีแต่อยู่อาศัยไม่มีการซ่อมแซม ประเทศก็เช่นกัน ถ้าหากต้องการที่จะอยู่กันอย่างสุขสบาย จำเป็นต้องซ่อมแซมประเทศที่กำลังทรุดโทรม ด้วยการปฏิรูปด้านต่างๆ ให้กลับคืนสู่ความเป็นปกติ ส่วนรายละเอียดของการปฏิรูปจะเป็นเช่นใด จะปฏิรูปอะไรก่อนหลัง ด้วยวิธีการอย่างไร ก็ต้องพูดคุยกัน ตกลงกัน และสรุปเป็นแนวทางที่จะต้องปฏิรูปให้ชัดเจน

หัวใจของการปฏิรูปนั้นไม่ได้อยู่ที่อื่นใดนอกจากคน นั่นคือ คนต้องมีการปฏิรูปตัวเองเสียก่อนจึงจะสามารถไปปฏิรูปโครงสร้างต่างๆ ให้ดีได้ แล้วคนจะปฏิรูปอย่างไร คอลัมน์นี้เป็นคอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับธรรม ดังนั้น จึงต้องเสนอให้คนปฏิรูปตัวเองโดยใช้ธรรมเป็นหลักยึด ธรรมอะไร ก็ธรรมของศาสนาที่ตนนับถือ ซึ่งทุกศาสนามีคำสอนคือมีธรรมให้ศาสนิกชนปฏิบัติเพื่อความดีงามอยู่แล้ว คำสอนของแต่ละศาสนาก็ไม่ห่างไกลกันนัก โดยหลักใหญ่ใจความนั้นก็คือ ให้ทุกคนปฏิบัติต่อตนเองและผู้อื่นเสมอกัน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจกัน เสียสละให้กัน ดำรงประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านด้วยความบริสุทธิ์ ไม่ละเมิดกฎบัตรกฎหมาย ศีลธรรม จริยธรรมของสังคม ธรรมทุกศาสนาล้วนแต่กล่าวถึงข้อปฏิบัติเช่นนี้ไม่ต่างกัน เพียงแต่ถ้อยคำอาจต่างกันเท่านั้นเอง

แล้วจะใช้ธรรมมานำปฏิรูปคนได้อย่างไร ต้องพิจารณาถึงข้อธรรมที่สอนให้คนเราเห็นถึงประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน เสียสละ ซึ่งมีอยู่ทุกศาสนา เราต้องปฏิบัติตามนี้จึงจะสามารถปฏิรูปคนก็คือตัวเราเองได้ ในที่นี้จะขอแยกคนออกเป็นสองรุ่น คือคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่

สิ่งที่คนรุ่นเก่าต้องทำในการปฏิรูปคนคือตนเองนั้น ก็คือการเสียสละ คนรุ่นเก่าที่ว่านี้ใช้อะไรเป็นเกณฑ์วัด ก็ย่อมต้องใช้อายุและประสบการณ์เป็นเกณฑ์วัด นั่นคือ คนที่อายุวัยเกษียณขึ้นไป คือหกสิบปี และมีประสบการณ์ อย่างเช่นในวงการเมืองตั้งแต่ยี่สิบปีหรือสามสิบปีขึ้นไป คนรุ่นเก่าเหล่านี้มีส่วนในการทำให้สังคมทรุดโทรมมามากบ้างน้อยบ้าง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ นักอะไรต่อมิอะไรที่มีบทบาทในการทำงานมาแล้วยี่สิบหรือสามสิบปี หากไม่เข้าข้างตัวเอง ท่านต้องยอมรับว่า ความผุพังทั้งหลายแหล่ที่ดำเนินอยู่นี้ ท่านมีส่วนสร้างขึ้นไม่มากก็น้อย ดังนั้น ท่านต้องเสียสละน้อยสามสิ่งดังนี้

1.ท่านต้องเสียสละโดยการวางมือกิจกรรมทั้งหมดที่ทำอยู่ เพื่อให้กระบวนการปฏิรูปสามารถไปได้โดยไม่มีพวกท่านซึ่งมีส่วนทำให้เกิดความทรุดโทรมอยู่เป็นอุปสรรคในการเปลี่ยนแปลง เพราะอำนาจบารมีของพวกท่านย่อมมีอยู่อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ หากยังอยู่ในตำแหน่งหรือในอำนาจ ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางการเปลี่ยนแปลงได้

2.ท่านต้องเสียสละด้วยการทบทวนความผิดพลาดที่ท่านได้ทำมา สิ่งใดผิดพลาด สิ่งใดถูกต้อง สิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี ให้ท่านสรุปเป็นบทเรียนอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้คนรุ่นใหม่นำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างให้ดีขึ้นในอนาคต

3.ท่านต้องเสียสละด้วยการเป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำ ให้ข้อคิดเห็นแก่คนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยที่ท่านไม่หวังลาภสักการะผลตอบแทนใดๆ เพื่อชดเชยสิ่งที่ท่านได้ทำความเสียหายไว้แก่ประเทศชาติ ส่วนความดีที่ท่านได้ประกอบมานั้น แน่นอนว่าสังคมจะต้องยกย่องท่าน ความดีนั้นย่อมติดตัวท่านอยู่ตลอดไป ไม่มีใครลบล้างได้อยู่แล้ว

นี่คือสิ่งที่คนรุ่นเก่าต้องทำ ต้องเสียสละ เพื่อประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน นั่นคือ ประโยชน์ของประเทศชาติซึ่งเป็นประโยชน์ของทุกคนในชาติเดียวกัน เมื่อคนอื่นได้ประโยชน์ท่านก็ได้ประโยชน์เช่นกัน

สิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องทำในการปฏิรูปตนเองก็คือ อาสาทำสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน คือประโยชน์ของส่วนรวม อันเป็นประโยชน์ของประเทศชาตินั่นเอง การอาสานี้ต้องมีจิตที่บริสุทธิ์ ศึกษาความผิดพลาดจากบทเรียนของคนรุ่นก่อน เพื่อจะได้ไม่ผิดพลาดอีก หรือให้ผิดพลาดน้อยที่สุด การทุจริต คอร์รัปชัน การหลีกเลี่ยงกฎหมาย เพื่อประโยชน์ของตนถ่ายเดียวก็ต้องละเว้นอย่างเด็ดขาด การแสวงหาผลตอบแทนในกิจกรรมต่างๆ ต้องกระทำด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม จนสุดความสามารถที่จะทำได้

สิ่งที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เป็นนามธรรม เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในปัจจุบัน แต่นี่เป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างแท้จริง หากไม่ทำเช่นนี้ คือยึดเอาศีลธรรมมาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา ในการปฏิรูปตนเองของคนแล้ว ก็ยากที่จะแก้ไขปัญหาได้ เพราะต่อให้มีกฎหมายที่ดี โครงสร้างที่ดี เพียงใด หากคนไม่มีศีลธรรม ไม่เคารพกฎหมาย ไม่เห็นประโยชน์ท่านกลับเห็นแต่ประโยชน์ตน จะปฏิรูปอะไรก็ไม่มีประโยชน์

ผู้เขียนเป็นพุทธศาสนิกชน จึงยึดเอาพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแนวทางในการปฏิรูปตนเอง เพียงข้อธรรมสามข้อ คือ ศีลห้า พรหมวิหารสี่ สังคหวัตถุสี่ เท่านี้ก็เพียงพอแก่การปฏิรูปตนเองให้ดีได้ เพราะครอบคลุมทั้งเรื่องประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน การเสียสละ การเคารพกฎระเบียบต่างๆ ไว้ครบถ้วน หากพุทธศาสนิกชนทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ยึดถือและปฏิบัติตามอย่างจริงจัง การเสียสละของคนรุ่นเก่าและการอาสาของคนรุ่นใหม่ดังที่กล่าวมา ก็จะดำเนินไปอย่างมีคุณภาพ เพราะคนสามารถปฏิรูปตนเองให้ถึงความดีได้ การที่จะไปปฏิรูปสังคมให้ดีย่อมเกิดขึ้นอย่างแท้จริง

ศาสนิกชนอื่นก็เช่นกัน ธรรมในศาสนาของท่านมีพร้อมแล้ว เหลืออยู่เพียงแต่ท่านจะนำมาใช้หรือไม่ หากท่านนำมาใช้กับตัวเอง การที่เราจะร่วมกันปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปสังคมให้ดีขึ้นก็ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้อย่างแน่นอน