Stereotype จากสื่อสู่ความขัดแย้ง

เมื่อประมาณเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีข่าวข่าวหนึ่งเกิดขึ้นในแวดวงโฆษณา คือ สายการบิน All Nippon Airways ของญี่ปุ่นต้องถอดโฆษณาตัวหนึ่งออก
เพราะถูกกระแสวิจารณ์อย่างหนักทางโลกออนไลน์ ความจริงแล้วโฆษณาชิ้นนี้ เป็นโฆษณาที่ต้องการประชาสัมพันธ์เส้นทางนานาชาติของสายการบิน ANA โดย เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า นักแสดงชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “เรามาเปลี่ยนภาพลักษณ์คนญี่ปุ่นกันเถอะ” และหันหน้าไปหาเพื่อนนักแสดงอีกคนหนึ่งซึ่งสวมจมูกปลอมใหญ่ๆ (สไตล์ชาวยุโรป) และวิกผมบลอนด์อยู่ หลายคนขำ แต่ก็มีหลายคนที่ขำไม่ออก สำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว จมูกใหญ่ๆ ผมบลอนด์นี้ คือ Stereotype อันหนึ่งที่มีต่อชาวอเมริกัน หรือชาวยุโรป ซึ่งในมุมมองของชาวยุโรปแล้ว การใส่จมูกปลอม และวิกล้อเลียนนี้เป็นการเหยียดผิวอย่างหนึ่ง เมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น จึงทำให้ผมนึกถึง Stereotype ในสื่อบ้านเราขึ้นมาทันที แต่ก่อนที่เราจะพูดถึงเรื่องนั้น เรามารู้จักว่า Stereotype คืออะไรก่อนดีกว่า
Stereotype (สเตริโอไทพ์) คือ ชุดความคิดง่ายๆ พื้นๆ ที่บุคคลหนึ่งจะมีต่อ กลุ่มคน ชนชั้น หรือเชื้อชาติหนึ่งๆ ความคิดหรือทัศนะคติเหล่านี้จะเป็นความคิดที่ไม่ซับซ้อน มักจะไม่ได้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงแต่เกิดขึ้นเพราะได้ยินเขาเล่ามาเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น ฝรั่งมักคิดว่า คนไทยใจดี หรือวัยรุ่นไทยหลายคนชอบคิดว่า ฝรั่งมีเซ็กซ์ง่ายๆ เป็นต้น ซึ่งความจริงแล้ว คนไทยหรือฝรั่งก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป และเมื่อคนคนหนึ่งมีความคิดต่อคนกลุ่มหนึ่งก่อนที่จะรู้จักกับคนกลุ่มนั้น ย่อมทำให้คนคนนั้นเกิดความคาดหวังต่อคนกลุ่มนั้นเป็นธรรมดาและปฏิบัติตนกับคนกลุ่มนั้นตามแบบที่ตนคิด เช่น พอผู้หญิงขับรถหลง ผู้ชายมักจะโทษผู้หญิง แต่พอผู้ชายขับรถหลง ผู้ชายจะโทษทุกอย่างยกเว้นตัวเอง ผมยังจำได้ว่า เมื่อสมัยที่ผมเริ่มเป็นอาจารย์ใหม่ๆ ครั้งหนึ่งมีนักศึกษาหญิงมาเล่าให้ผมฟังว่า มีอาจารย์ฝรั่งชอบมาจับมือถือแขนและเอาหน้าเข้ามาใกล้ๆ เธออยู่เป็นประจำจนเธอไม่ค่อยสบายใจ แต่เธอบอกผมว่า ฝรั่งเขาคงไม่ถือใช่ไหมคะ ผมบอกว่า ตอนที่ครูเรียนอยู่ที่อเมริกา ครูก็ไม่เคยเห็นอาจารย์จะมาจับมือถือแขน เอาหน้าเข้ามาใกล้นักศึกษาจนนักศึกษารู้สึกกระอักกระอ่วนแบบนี้นะ ฝรั่งเขาไม่ได้ทำกันแบบนี้หรอก จนในที่สุดผมก็เอาเรื่องไปฟ้องร้องผู้ใหญ่จนอาจารย์ฝรั่งคนนั้นต้องออกไป ก่อนที่ครูฝรั่งคนนั้นจะเอาความคิดพื้นๆ ของคนไทยมาเป็นข้อได้เปรียบในการล่วงเกินนักศึกษาไทยไปมากกว่านี้ หลายคนอาจสงสัยว่า และเมื่อไม่ได้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรง แล้วความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นจากไหน สาเหตุที่ทำให้เกิดความคิดพื้นๆ ต่อคนกลุ่มอื่น สาเหตุหนึ่ง ก็คือ การนำเสนอความคิดเช่นนี้ผ่านสื่อ นั่นเอง ซึ่งสื่อไทยก็ไม่น้อยหน้า ใส่ความคิดเช่นนี้อยู่เป็นประจำ
ถ้าผมอยากได้บรรยากาศเม้าท์มอย นินทาเรื่องชาวบ้าน สถานที่ที่นึกถึงก็คือ.......หลายคนพยายามตอบอยู่ไม่รู้ว่าใครตอบได้ตรงกับผมหรือเปล่า คำตอบของผมก็คือ ร้านทำผม นั่นเองครับ ช่างทำผมกับนิสัยนินทาเรื่องชาวบ้าน เป็นเรื่องราวที่พบเห็นกันเป็นประจำในละครไทย จนแม้แต่คนที่ไม่เคยไปร้านทำผมก็มีความคิดแล้วว่า ช่างทำผมต้องเก่งเม้าท์มอย ผมจำได้ว่า เคยมีกลุ่มกะเทยอยู่กลุ่มหนึ่ง ทำเรื่องร้องเรียนถึงสถาบันสื่อให้ดูแลภาพพจน์ของกะเทยในสื่อบ้าง เพราะภาพของกะเทยผ่านสื่อต่างๆ นั้น มีแต่ ปากจัด ไร้สาระ ประเภทเป็นเพื่อนนางเอกยุแยงตะแคงรั่วไปวันๆ หายากเหลือเกินที่จะเห็น กะเทยเป็นดอกเตอร์ในภาพยนตร์ หรือเป็นตัวเอกในละคร ซึ่งในชีวิตจริงแล้ว กะเทยที่มีบทบาทในสังคม คอยช่วยเหลือสังคมก็มีอยู่มากมายหลายท่าน แต่เราไม่เห็นในหนังเท่านั้นเอง จนทำให้หลายคนถึงกลับไม่ยอมรับกะเทยเพราะมองว่าเป็นเพศที่น่ารำคาญจากการนำเสนอของสื่อนั่นเอง อีกความคิดพื้นๆ ความคิดหนึ่งที่ยัดเหยียดให้กับคนกลุ่มหนึ่งผ่านสื่อ ซึ่งผมมองเห็นว่าเป็นความคิดนี้น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง เพราะผมเชื่อว่า มันอาจเป็นฉนวนเล็กๆ จุดหนึ่ง ที่ทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมืองจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือความคิดพื้นๆ ที่มีต่อคนอีสานนั่นเอง
หากจะมีคนอีสานสักคนปรากฏตัวอยู่ในภาพยนตร์หรือละครสักเรื่องหนึ่ง คุณคิดว่าคนคนนั้นจะเป็นอะไรในละคร หลายคนคงคิดเหมือนกันว่า ก็ไม่พ้นคนรับใช้ในบ้าน เปิ่นๆ ไร้การศึกษานั่นเอง มุมมองสื่อที่มีต่อคนอีสาน คือใคร สื่อส่วนใหญ่มักจะให้คนอีสานรับบทคนรับใช้ คนไร้การศึกษา คนซื่อๆ และที่สำคัญมักจะเป็นลูกน้องหรือคนรับใช้คนกรุงเทพฯหรือคนภาคกลางเสียเป็นส่วนใหญ่ อันนี้ฟังจากสำเนียงของตัวละครนะครับ สำหรับผม ผมคิดว่า การรับสื่อ หรือถ้าพูดกันง่ายๆ ก็คือ การดูละครที่มีความไม่เท่าเทียมกันอยู่แบบนี้บ่อยๆ สามารถสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้กับคนอีสานได้ ดังนั้น เมื่อความคิดคล้ายๆ กับปมด้อยที่สร้างขึ้นจากสื่อเช่นนี้ถูกฝังอยู่ในส่วนลึกของคนอีสานมาอย่างยาวนาน วันหนึ่งหากมีใครขุดมันขึ้นมาเพื่อสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างชนชั้น รวย-จน ความแตกแยกระหว่างเชื้อชาติ กรุงเทพฯ-อีสาน โดยใช้วาทกรรมต่างๆ เช่น ไพร่-อำมาตย์ ความแตกแยกนี้จึงเกิดขึ้นอย่างง่ายดายโดยใช้เวลาไม่นาน เพราะมันแอบมีมานานแล้ว นั่นเอง
แล้วรอยร้าวนี้จะเยียวยาได้ไหม สำหรับสื่อแล้ว การยัดเยียดความคิดพื้นๆ ให้กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งเป็นความคิดที่อยู่ในทางลบด้วยแล้ว ยิ่งไม่สมควร สิ่งที่สื่อควรทำก็คือ สร้างความหลากหลายในภาพยนตร์ ละครหรือรายการอื่นๆ ลบภาพแง่ลบต่อคนกลุ่มหนึ่งให้หมดไป พร้อมกับส่งเสริมให้กับกลุ่มคนที่ถูกมองในแง่ลบนั้นพยายามสร้างสิ่งที่ลบล้างความคิดนั้นออกให้ได้ เช่น ส่งเสริมให้คนอีสานเก็บออม ขยันทำงาน ลบภาพคนอีสานไร้การศึกษา หรือคนอีสานจนออกไปให้ได้ ผมเชื่อว่าหากสื่อทำหน้าที่สองอย่างนี้ ความแตกแยกหรือร้อยร้าวที่เกิดขึ้นอาจลบเลือนไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อยครับ




