การเมืองโหดๆ ที่ประเทศไทย

ความขัดแย้งทางการเมืองในบ้านเราดูจะโหดร้าย แล้งน้ำใจ และอาจถึงขั้นไร้ภูมิคุ้มกันทางมนุษยธรรมกันมากขึ้นทุกที...
หลายเรื่องที่คู่ขัดแย้งสามารถ "พักรบชั่วคราว" เพื่อพูดคุยกันและหาทางออกเฉพาะหน้าร่วมกันก่อนได้ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตายของชีวิตคน แต่ก็ไม่มีฝ่ายไหนคิดทำ
เช่น เรื่องการหาเงินจ่ายชาวนาที่ไม่ได้รับเงินตามโครงการจำนำข้าว ฝ่ายหนึ่งก็อ้างแต่กฎหมายเพื่อยืนยันว่า กู้เงินที่ไหนมาจ่ายก็ไม่ได้ทั้งนั้น ขณะที่อีกฝ่ายก็อ้างว่าฝ่ายแรกไปปิดล้อมธนาคาร กดดันสถาบันการเงิน
โบ้ยไปว่าทำให้ไม่มีเงินจ่ายชาวนา เถียงกันไปเถียงกันมานานหลายสัปดาห์ ชาวนาก็ฆ่าตัวตายเยอะขึ้นทุกที
ที่บอกว่ากู้เงินมาจ่ายชาวนาผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 181 นั้น จริงๆ แล้วโทษมันคืออะไร ตัดสิทธิทางการเมือง หรือยุบพรรค หรืออาญา ถ้ารัฐบาลยอมทำผิดทำเพื่อรักษาชีวิตคน คือ ชาวนา ซึ่งจนถึงขณะนี้ตายไปกว่า 10 ชีวิตแล้ว ยังไม่นับครอบครัวลูกหลานอีกจำนวนมากที่ต้องเดือดร้อน ถามว่าคุ้มไหมที่จะทำผิด แล้วศาลจะกล้าลงโทษสถานหนักหรือ
ถ้าทุกฝ่ายยอมลดอัตตาแล้วหันหน้าคุยกัน ตกลงเงื่อนไขกัน กปปส.ไม่ไปขวางกู้เงิน เพื่อจะได้มีเงินไปจ่ายชาวนาก่อน จากนั้นรัฐบาลก็ทำอะไรบางอย่าง เช่น ยอมรับความผิดพลาด หรือให้คำมั่นว่ายกเลิกหรือปรับปรุงโครงการ อย่างนี้บ้านเมืองมันก็พอไปได้ (การพูดคุยเพื่อไม่ให้การแก้ปัญหาติดล็อกทางกฎหมาย ไม่เกี่ยวกับเรื่องโกงหรือทุจริต เพราะเรื่องนั้นต้องว่าไปตามพยานหลักฐาน)
แต่ประเด็นแบบนี้มันไม่เกิดเพราะทั้งสองฝ่ายมุ่งแต่เอาชนะ โดยเอาชีวิตของประชาชนเป็นเดิมพัน ทั้งรัฐบาลและ กปปส.รักตัวเองมากกว่าประชาชน ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ทว่าการกระทำของทั้งสองฝ่ายกลับอ้างประชาชน
ไม่ต่างอะไรจากนักคิด นักกิจกรรม นักวิชาการบางส่วน (รวมทั้งสื่อบางแขนงด้วย) ที่เลือกข้าง มีสังกัดกันไปเกือบหมดแล้ว ถ้าเป็นการเคลื่อนไหวเรื่องอื่นคงไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเรื่องความตายก็อย่าทำให้มีสองมาตรฐาน
ไม่ใช่พอฝ่ายที่ตัวเองสนับสนุนตาย ก็เป็นเดือดเป็นแค้น ด่าทอ ต้องเอาผิดทางกฎหมายกับผู้สั่งการให้ตายตกตามกัน แต่พอฝ่ายตรงข้ามตาย กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดา เงียบกริบกันไปหมด ทำนองว่า (เสือก) ตายเอง บรรยากาศแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่เกิดมานานแล้วที่ชายแดนใต้ ทหารตายแทบไม่มีใครไปงานศพ (นอกจากทหารและข้าราชการด้วยกัน) ไม่มีชาวบ้านพูดถึง
พอเคลื่อนศพทหารเหล่านั้นกลับบ้าน กลับภูมิลำเนานอกสามจังหวัด คนในภูมิภาคนั้นๆ ก็ด่าทอโจรใต้ พาลเกลียดคนสามจังหวัด เสมือนหนึ่งแยกดินแดนกันโดยพฤตินัยไปแล้ว
แต่ถ้าเป็นคนสามจังหวัดตาย โดยเฉพาะกลุ่มมุสลิมติดอาวุธ คนในพื้นที่มองว่าเป็นวีรบุรุษที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ขณะที่รัฐบาลหรือคนภาคอื่นกลับมองเป็นโจร
ถามว่าวันนี้ในส่วนกลาง การเมืองสีเสื้อมีอะไรแตกต่างจากสามจังหวัดบ้าง?
ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่า แยกดินแดน แยกประเทศ ในทางความรู้สึกมันเกิดขึ้นแล้ว และกำลังบานปลายไปเรื่อยๆ
ถ้าไม่ช่วยกันหยุด ยังเล่นการเมืองแบบโหดๆ กันแบบนี้ และไม่ยอมคุยกัน โอกาสจับปืนสู้กัน แบ่งเป็น "ไทยเหนือ-ไทยใต้" มันมีมาก ยิ่งประเทศไทยไม่ได้เตรียมการป้องกันสำหรับเรื่องแบบนี้ ทั้งปืนทั้งระเบิดหาง่ายพอๆ กับข้าวแกงริมถนน โอกาสของความรุนแรงย่อมสูงมาก
การพูดคุยเพื่อหาทางออกต้องไม่ใช่จำกัดวงแค่พวกอยู่บนหอคอยงาช้าง แต่ต้องคุยกันไปถึงรากหญ้า ตามแนวทางที่สถาบันพระปกเกล้าเคยเสนอ คือต้องทำเวทีประชาเสวนากันทุกตำบล เพื่อสถาปนาความสามัคคีกลับมาสู่สังคมไทย...
แล้วสันติสุขจะตามมาเอง!







