กุญแจที่หายไป

เริ่มเดากันแล้วซิคะว่าดิฉันจะมาแนวไหนในวันนี้ เชื่อว่าหลายคนต้องคิดว่าดิฉันจะมาเขียนเรื่องความรักจากเพลง กุญแจที่หายไป แน่ๆ เลยนะคะ
อันที่จริงแล้วนั้น ดิฉันได้แรงบันดาลใจจากนิสัยที่ไม่ดีของดิฉัน นั่นคือการวางของไม่ค่อยเป็นระเบียบ เมื่อก่อนแทบทุกเช้าดิฉันจะต้องร้อนรนกับการหากุญแจรถกุญแจบ้าน และคุณล่ะคะเคยบ้างไหมที่หากุญแจในกระเป๋าเท่าไรก็ไม่เจอ ดิฉันเคยแม้กระทั่งพลิกบ้านหากุญแจ ก่อนอื่นหาที่กระเป๋าถือเป็นอันดับแรก ตามด้วยห้องนอน ห้องนั่งเล่น เข้าไปหาแม้กระทั่งห้องน้ำ เอ๊ะหรือว่าไปลืมไว้ในตู้เย็นตอนทานน้ำ หาเท่าไรก็หาไม่เจอ ปรากฏว่ามาเจออีกทีก็ในกระเป๋าถือนั่นแหละค่ะ คุณผู้อ่านทราบไหมคะว่าทำไมดิฉันถึงหากุญแจไม่เจอในกระเป๋าถือตั้งแต่ครั้งแรกที่หา เหตุผลก็มีอยู่แค่ว่าดิฉันไม่แน่ใจว่า กุญแจนั้นมีอยู่จริงในกระเป๋า กุญแจที่หายไปก็เปรียบเสมือนกับความสำเร็จ เรามักจะหามันไม่เจอเพราะเราไม่เชื่อว่าความสำเร็จนั้นมีอยู่จริง
ศาสตราจารย์ Robert K Merton แห่งมหาวิทยาลัย Columbia ได้ให้กำเนิดของทฤษฎี Self-fulfilling prophecy ในปี คศ. 1957 ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า เมื่อมนุษย์เชื่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองนั้น ก็จะสร้างพฤติกรรมที่ส่งผลให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นจริงๆ หรือดิฉันขอสรุปประมาณว่า “พยากรณ์ชีวิตด้วยจิตของเรา” นั่นเอง คุณเคยไหมที่กลัวการไปสอบจนบอกกับตัวเองว่า ฉันต้องทำไม่ได้แน่เลย สุดท้าย ออกจากห้องสอบมาก็ทำไม่ได้จริงๆ แล้วยังมาบอกกับทุกคนอีกว่า เห็นไหมฉันบอกแล้วต้องทำไม่ได้ ไม่รู้จะอ่านหนังสือไปทำไม อันนี้ก็เป็นการพยากรณ์ชีวิตของตัวเองอีกอย่าง แต่การพยากรณ์อย่างนี้ไม่ดีนัก ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ใดๆ ดีขึ้นเลย เพราะเริ่มต้นคุณก็ดูถูกความสามารถของตัวเองไปเสียแล้ว พลังที่จะพยายามศึกษา เตรียมตัวกับการสอบนั้นๆ ก็ไม่ค่อยมี ดังนั้น คงไม่แปลกใจที่ไม่สามารถทำข้อสอบได้ดี
การพยากรณ์ชีวิตที่ถูกต้องคือการคิดไปในแง่บวก เพิ่มพลังบวกให้กับจิตวิญญาณของตัวเอง เชื่อในศักยภาพของตัวเอง วาดภาพแห่งความสำเร็จให้กับตัวเอง มีตัวอย่างของความสำเร็จที่เกิดจากความเชื่อมากมาย หนึ่งในนั้นคงไม่พ้น Steve Jobs ผู้ก่อตั้งบริษัท Apple ผู้ที่มีความเชื่อในความสำเร็จมากเกิน scale จนหลายๆ คนบอกว่าเขามีความสามารถบิดเบือนความจริง หรือ Reality Distortion Field (ศัพท์นี้ใช้ในหนังสือประวัติของ Steve Jobs เขียนโดย Walter Isaacson) ให้ผู้ร่วมงาน “เชื่อ” ว่าศักยภาพของตนเองสามารถทำงานให้สำเร็จได้ อย่างเช่นตอนที่ Steve Jobs ทำงานกับบริษัทผลิตวีดีโอเกมส์ Atari เขาได้รับงานที่จะทำเกมส์ขึ้นด้วยจำนวนชิปที่น้อยกว่า 50 ชิป ซึ่งด้วยมาตรฐานของวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ทั่วไปในขณะนั้นคงต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ กันทีเดียว แต่ Steve Jobs ได้ไปกล่อมเพื่อนรัก Stephen Wozniak (ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple ในภายหลัง) มาร่วมทำงานที่ท้าทายครั้งนี้ ถึงแม้ Stephen Wozniak จะรู้ดีตั้งแต่ต้นว่างานนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ด้วยพลังแห่งการเกลี้ยกล่อมและหว่านล้อมของ Steve Jobs จึงทำให้ Stephen Wozniak เชื่อว่างานนี้ทำได้จริง และในที่สุดพวกเขาก็ได้ทำเกมนี้ขึ้นสำเร็จด้วยจำนวนชิปแค่ 45 ชิปและใช้เวลาเพียง 4 วันเท่านั้น
ในวงการกีฬาก็ใช้หลักการ “เชื่อสู่สำเร็จ” เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น Wayne Rooney นักเตะของทีมฟุตบอล Manchester United ที่จะต้องถามในคืนก่อนวันที่จะลงแข่งนัดสำคัญว่าเขาจะใส่ชุดสีอะไรลงแข่งในวันพรุ่งนี้ เพื่อที่เขาจะเอาไปจินตนาการว่าเขาสามารถแตะลูกเข้าประตูได้ในชุดนั้น ซึ่งนี่ก็เป็นตัวอย่างของการเชื่อว่าเขาต้องทำได้ ศาสตราจารย์ Carol Dweck จากมหาวิทยาลัย Stanford ได้เคยกล่าวไว้ว่า สิ่งที่แยกระหว่างแชมเปี้ยนส์กับนักกีฬาทั่วๆ ไป ไม่ใช่ talents (ความสามารถ) แต่เป็น mindset (ความเชื่อและทัศนคติ) นั่นเอง (จากบทความ “The Mindset of a Champion”)
หลายๆ ท่านอาจแอบบ่นว่าเราไม่ได้เกิดมามีความมั่นใจเกินร้อยอย่าง Steve Jobs หรือเจ๋งขนาด Wayne Rooney ก็เลยเกิดความกลัวในการดำเนินชีวิต ดิฉันเองก็ยอมรับเลยว่าบางครั้งก็ “กลัว” ความท้าทายไม่น้อยกว่าท่านผู้อ่านเหมือนกัน เมื่อเกิดความกลัวขึ้นเกินที่ตัวเองจะรับไหว ดิฉันจะไม่อายเลยที่จะบอกกับคนรอบข้างถึงความไม่มั่นใจนั้น และก็บ่อยครั้งที่ความมั่นใจของดิฉันได้กลับคืนมาจากคนรอบข้างเหล่านั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นดิฉันอยากให้พวกเราอย่าได้กลัวที่จะบอกความกลัวนั้นกับคนอื่น และถ้าเราสามารถสร้างความมั่นใจให้คนอื่นได้ ก็จงช่วยกันทำเพราะเมื่อความกลัวหาย อาการอัมพาตทางสมองก็จะหายไปด้วย
ถ้าวันนี้กุญแจชีวิตของคุณยังหายอยู่ ดิฉันอยากให้คุณเชื่อว่ากุญแจดอกนั้นมีอยู่จริง แต่จะเจอหรือไม่ต้องเริ่มจากตัวคุณเอง อยากให้ทุกท่านเริ่มต้นที่จะเชื่อว่ากุญแจแห่งความสำเร็จมีอยู่จริง และมันจะเกิดขึ้นด้วยหนึ่งสมอง สองมือของคุณนั่นแหละค่ะ ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้ค้นหากุญแจของคุณให้เจอนะคะ
ปล. ปัจจุบันสถานการณ์การหากุญแจของดิฉันดีขึ้นเพราะดิฉันได้ใส่กุญแจไว้ในกระเป๋าถือจนติดเป็นนิสัยทำให้ดิฉันมั่นใจว่ามันต้องอยู่ในช่องใดช่องหนึ่งในกระเป๋านั้นเป็นแน่ค่ะ







