บทเรียนจากอินโดนีเซีย ถึงคนไทย

หากมองย้อนกลับไปประมาณ 15 ปีที่แล้ว ในขณะที่ประเทศไทยเพิ่งผ่านการปฏิรูปการเมืองครั้งสำคัญได้ไม่กี่ปี (พ.ศ.2540)
ประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่กว่า 17,000 เกาะ และเป็นประเทศที่มีประชากรเป็นชาวมุสลิมมากที่สุดในโลก อย่างอินโดนีเซีย เพิ่งเปลี่ยนผ่านจากการปกครองแบบรัฐบาลเผด็จการทหารมาเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย (พ.ศ. 2542) หลังจากเริ่มมีการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นแล้วนั้น นักวิเคราะห์ทางการเมืองของอินโดนีเซีย และการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายท่านเคยเกรงกลัวว่าอินโดนีเซียอาจต้องเผชิญกับปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ และด้านอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย
ทั้งนี้ เนื่องมาจากรัฐบาลภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตยที่ยังขาดประสบการณ์ในการบริหารประเทศ เศรษฐกิจที่ถดถอยของประเทศและภูมิภาคในขณะนั้น การแตกแยกของชนกลุ่มน้อยต่างๆ ภายในประเทศ การพยายามแบ่งแยกดินแดนใน อาเจะ (Aceh) และในปาปัว (Papua) ที่พยายามแยกตนเองเป็นประเทศเหมือนอีสติมอร์ (East Timore) เมื่อปี พ.ศ. 2542 รวมทั้งปัญหาคอร์รัปชันที่ระบาดไปในทุกส่วนของประเทศ นักวิเคราะห์ต่างกลัวว่าปัญหาเหล่านั้นอาจนำมาซึ่งการล่มสลายของประเทศ รวมทั้งสงครามกลางเมืองเหมือนที่เกิดขึ้นในประเทศประชาธิปไตยใหม่อื่นๆ
แต่ในวันนี้อินโดนีเซียได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ประเทศประชาธิปไตยใหม่ประเทศนี้ พัฒนาได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ รัฐบาลภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยสามารถปกครองประเทศที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรม ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือในภาษาอินโดนีเซียเรียกว่า Bhinneka Tunggal Ika (Unity in Diversity)
นอกจากนี้การพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มั่นคงของอินโดนีเซียยังเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประเทศที่มีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติประเทศอื่นๆ ในแถบตะวันออกกลาง ที่ว่าศาสนาอิสลามสามารถไปได้ด้วยดีกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย ในวันนี้ด้วยศักยภาพในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาได้รวดเร็ว มั่นคง กว่าทั้งทางด้านการเมือง และเศรษฐกิจหากเปรียบเทียบกับประเทศเราหรือเพื่อนบ้านอื่นๆ ดังนั้น อินโดนีเซียอาจกลายเป็นผู้นำอาเซียนในอีกไม่นานนี้
เหตุใดประเทศประชาธิปไตยสดใหม่แบบอินโดนีเซียถึงพัฒนาไปได้รวดเร็วอย่างมากหากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ในขณะที่บ้านเรามีการปฏิรูปการเมืองในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกับอินโดนีเซีย แต่เรากลับก้าวถอยหลังไปเรื่อย การเมืองวุ่นวายมีปัญหา เศรษฐกิจถดถอย ความแตกแยกระหว่างประชาชนคนไทยทั้งในปัญหาภาคใต้ และปัญหาการเมืองของประเทศทวีความรุนแรง หากจะวิเคราะห์ ให้ครบทุกด้าน คงต้องใช้กระดาษหลายสิบหน้า แต่ที่ชัดเจนและเราน่าจะลองคิดดู อาจแบ่งได้ 3 ประเด็น ดังนี้ 1) ระบบการเมืองและพรรคการเมืองที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ ของบ้านเรา ซึ่งเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับระบบพรรคการเมืองในอินโดนีเซีย 2) ระบบการตรวจสอบภาครัฐที่โดนแทรกแซงจากองค์กรต่างๆ ของบ้านเราและการตรวจสอบที่ตรงไปตรงมาของอินโดนีเซีย 3) การแก้ปัญหาคอร์รัปชันอย่างเป็นรูปธรรมในหมู่เกาะชวา ตรงข้ามกับการแพร่กระจายอย่างต่อเนื่องของปัญหาการทุจริตในบ้านเรา
ประเด็นที่ 1 ในบ้านเราหากย้อนกลับไปสมัยที่พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งใหม่ๆ ดูเหมือนเป็นความหวังของคนไทยจำนวนมาก พรรคการเมืองเริ่มมีการแข่งขันกันในลักษณะ 2 พรรคใหญ่ ซึ่งอาจเป็นที่ชื่นชอบของคนหลายๆ กลุ่ม และนักวิชาการจำนวนมาก เพราะจะช่วยทำให้พรรคการเมืองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ต้องกังวลถึงพรรคการเมืองขนาดกลางหรือเล็กที่เป็นตัวแปรสำคัญของรัฐบาลผสมเหมือนในอดีต แต่จากการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น ทำให้เห็นแล้วว่าการแข่งขันแบบ 2 พรรคการเมืองใหญ่ นำมาซึ่งระบบเผด็จการรัฐสภา พรรคที่ได้รับชัยชนะเข้ายึดอำนาจ ไม่สนใจความคิดเห็นจากพรรคที่ได้เสียงข้างน้อย สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤติทางการเมืองหลายระลอกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ในทางกลับกัน การเมืองของอินโดนีเซียในอดีตในสมัยรัฐบาลอำนาจนิยมมีพรรคการเมืองแข่งขันกันอยู่ 2 พรรคใหญ่ คือ พรรค Golkar และ PDI แต่ต่อมาในระยะหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีพรรคการเมืองขนาดเล็กเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากแต่เป็นที่น่าแปลกใจว่าพรรคการเมืองขนาดเล็กเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐบาลผสมอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านเราในอดีต พรรคการเมืองขนาดเล็กเหล่านั้นกลับเป็นตัวแทนของพื้นที่ที่ตนเองได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง พรรคการเมืองที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลก็รับฟังพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ สร้างนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน ลักษณะการบริหารอย่างพึ่งพาอาศัยกันเช่นนี้ ทำให้รัฐบาลของอินโดนีเซียอยู่ได้ครบสมัย (5 ปี) ทุกครั้งไป และในปีนี้ ก็จะเป็นอีกครั้งที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ในทุกระดับของประเทศอินโดนีเซีย
ประเด็นที่ 2 ในขณะที่องค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการกระทำผิด และการคอร์รัปชันในราชการของประเทศอินโดนีเซียมีความแข็งแกร่งและปราศจากการแทรกแซงของนักการเมือง หรือองค์กรอื่นๆ แต่ในบ้านเรานั้นองค์กรตรวจสอบเหล่านี้ในบางกรณีไม่ได้รับความเชื่อถือมากนัก มักถูกแทรกแซงในการทำงานอยู่บ่อยครั้ง
ยกตัวอย่างให้เห็น ง่ายๆ เมื่อไม่นานมานี้ องค์กรตรวจสอบคอร์รัปชันของอินโดนีเซีย หรือ Corruption Eradication Commission สั่งลงโทษอย่างหนักต่อประธานศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรับสินบนจากภาคเอกชน และยังสั่งลงโทษ รัฐมนตรีกระทรวงกีฬาในข้อหาทุจริตคอร์รัปชันอีกด้วย ประเทศเขาไม่ได้ปล่อยให้เรื่องหายเงียบไปอย่างเรา มีการดำเนินการอย่างจริงจังต่อผู้ทุจริต เจ้าหน้าที่รัฐ หรือนักการเมืองที่โดนลงโทษข้อหาคอร์รัปชันถึงกับหมดอนาคตในหน้าที่การงานกันเลยทีเดียว
จากการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพขององค์กรตรวจสอบต่างๆ ในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะเรื่องการปราบปรามคอร์รัปชันนั้นทำให้ประเทศอินโดนีเซีย ได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้นจากต่างชาติในการเข้ามาลงทุน และในขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมให้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยและการเมืองภายในของประเทศพัฒนาขึ้นตามลำดับ
หันกลับมามองบ้านเรา องค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบหลายองค์กรในบ้านเราส่วนใหญ่ก่อตั้งมาก่อนองค์กรอิสระในประเทศอินโดนีเซีย แต่ในการทำงานนั้นดูเหมือนจะโดนแทรกแซงจากองค์กรอื่นๆ ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนในอินโดนีเซียมีหลายกรณีที่อาจสามารถจับผู้กระทำผิดได้แล้ว แต่อิทธิพลทางการเมืองเข้ามาแทรกแซงกระบวนการการตรวจสอบจนในที่สุดผู้กระทำผิดก็หลุดไป หรือเรื่องเงียบหายไปจนคดีหมดอายุความ
ประเด็นที่ 3 คือ การแก้ปัญหาคอร์รัปชันที่ประสบผลสำเร็จอย่างยิ่งในประเทศอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปัญหาคอร์รัปชันถือเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาของประเทศหลายประเทศ ดังนั้น รัฐบาลอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในสมัยประธานาธิบดี ซูซิโลบัมบัง ยูโดโยโน จึงได้มีการรณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ในช่วงสมัยแรกของประธานาธิบดียูโดโยโนนั้นถือว่าเป็นยุคทองของการปราบปรามคอร์รัปชัน จนทำให้ท่านได้รับเลือกกลับเข้ามาอีกสมัยหนึ่ง สำหรับในการเลือกตั้งประธานาธิบดีกลางปีนี้ ผู้สมัครหลายท่านก็ยังคงยกนโยบายต่อต้านการคอร์รัปชันอีกเช่นกัน ผู้สมัครที่มีท่าทีว่าจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งนี้ คือ นาย โจโกวี ผู้ว่าเมืองจาการ์ตาก็ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนชาวอินโดว่าเป็นผู้ที่มีประวัติโปร่งใส และไม่ทุจริตคอร์รัปชันด้วยเช่นกัน
จากการแก้ปัญหาการคอร์รัปชันอย่างจริงจังทำให้อินโดนีเซียถูกจัดอันดับโดยองค์กรการโปร่งใสสากล หรือ International Transparency อยู่ในลำดับที่ดีขึ้นเรื่อย ซึ่งแตกต่างจากบ้านเราที่ถูกจัดอันดับอยู่ในช่วงขาลงมาเป็นเวลาหลายปี สำหรับในปีนี้จากการประเมินขององค์กรการโปร่งใสสากลไทยตกลงมา 14 อันดับจากอันดับ 88 ลงมาอยู่อันดับที่ 102 เป็นการตกครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งต่ำกว่าประเทศลาตินอเมริกา และแอฟริกา รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนหลายประเทศ จากที่ก่อนหน้านี้ในปี 2550 ไทยเคยตกจากอันดับ 63 เป็น 84 โดยอันดับดีที่สุดอยู่ที่ 59 เมื่อหลายปีมาแล้ว
ปัญหาคอร์รัปชันถือเป็นปัญหาอุปสรรคที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ นักลงทุนต่างชาติจำนวนมากย่อมคำนึงถึงปัญหาการคอร์รัปชันในภาครัฐเป็นสำคัญก่อนตัดสินใจมาลงทุน สำหรับอินโดนีเซียนั้น การแก้ปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจังของรัฐบาล ประกอบกับทรัพยากรอันล้นหลามจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดการลงทุนของต่างชาติในปัจจุบัน
นอกจาก 3 ประเด็นหลักนี้แล้ว ประเทศอินโดนีเซียยังได้มีการพัฒนาและปฏิรูปในเรื่องอื่นๆ อีกหลายด้าน เช่น การปฏิรูปกองทัพให้ลดบทบาททางการเมืองลง รวมทั้งการกำหนดใช้กฎหมายกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างชนชาติต่างๆ ของประเทศ จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันความตึงเครียดในการต้องการแบ่งแยกดินแดงของชนเผ่าต่างๆ ในอินโดนีเซียลดลงอย่างมากซึ่งแนวทางในการปฏิรูปนั้นทำให้อินโดนีเซียสามารถพัฒนาตนเองให้มีเสถียรภาพทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างมากโดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ในปัจจุบันอินโดนีเซียถือว่ามีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดเป็นอันดับ 2 รองจากจีน ในกลุ่ม G20 หรือกลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลก ยังมีการคาดการณ์กันด้วยว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอันรวดเร็วนี้จะทำให้มีชนชั้นกลางใหม่ เกิดขึ้นในอินโดนีเซียเป็นจำนวนทั้งสิ้น 141 ล้านคน ภายใน 7 ปี (Boston Consulting Group) ซึ่งชนชั้นกลางที่มีศักยภาพสูงและเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่นี้จะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลักดันความเจริญทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางการเมืองของประเทศอินโดนีเซียต่อไป
หากบ้านเรายังคงย่ามใจ มุ่งเน้นแต่จะสร้างความขัดแย้งกันต่อไป ต่างคนต่างแสวงหาประโยชน์ ให้กับตนเองและพรรคพวกกันต่อไปโดยไม่คำนึงถึงประเทศเป็นสำคัญ อีกไม่นานอินโดนีเซียคงแซงหน้าเราไปอย่างที่ยากจะไล่ตามทันเป็นอันแน่




