เมื่อผมต้องไปโรงพยาบาลในอินตะระเดีย

เมื่อผมต้องไปโรงพยาบาลในอินตะระเดีย

เปล่าครับ...ผมยังไม่ได้เป็นอะไรถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อต้องเข้าโรงพยาบาลที่ประเทศอินเดียแต่ประการใด ยังแข็งแรงฟิตปั๋งอยู่ครับ

แต่ที่ต้องไปโรงพยาบาลครั้งนี้ก็เพราะต้องพาคุณลูกน้องสุดเลิฟของผมไปเข้าโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการบำบัดรักษาด้วยการสลายนิ่วในกระเพาะปัสสาวะด้วยเลเซอร์ ซึ่งขณะนี้กระบวนการสอดสลายนิ่วด้วยฝีมือหมออินตะระเดียที่มุมไบก็ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยโรงเรียนแขกไปแล้วโดยไม่ต้องทำการผ่าตัดให้เจ็บปวดทรมานแต่ประการใด ส่วนคนไข้ก็ปลอดภัยไร้กังวลนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลในขณะนี้ ซึ่งคาดว่าอีกสัก 2-3 วันก็คงกลับบ้านได้

ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือหมออินตะระเดียนี่ไม่ธรรมดาทีเดียว อีกทั้งอุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือก็ทันสมัยไม่ใช่เล่น ทำให้คุณลูกน้องของผมไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัดเพราะคุณหมอท่านใช้วิธีสอดเครื่องมือเข้าไปใช้เลเซอร์สลายนิ่วในกระเพาะปัสสาวะแทน (ส่วนสอดเข้าไปทางไหน อย่างไร อันนี้ขอเซนเซอร์แล้วกันนะครับ) นอกจากนั้น ห้องพักคนไข้ก็เป็นห้องสวีทหรูหราใหญ่โต แถมมีห้องนอนอีกห้องหนึ่งพร้อมห้องน้ำในตัวสำหรับคนเฝ้าไข้ด้วย แต่ที่แปลกตาและแปลกใจ คือ ส้วมในห้องน้ำคนไข้กับส้วมในห้องน้ำคนเฝ้าไข้นี่จะต่างกันแบบคนละวรรณะเลยทีเดียว กล่าวคือ ส้วมของคนไข้จะเป็นโถนั่งแบบทันสมัย แต่ส้วมของคนเฝ้าไข้จะเป็นส้วมหลุมแบบนั่งยองแต่ก็เป็นระบบชักโครกด้วยกันทั้งคู่ ก็เลยเดาเอาเองว่าอาจจะเป็นไปได้ว่าคนเฝ้าไข้ที่อินเดียน่าจะเป็นคนรับใช้มานอนเฝ้าเจ้านายที่เป็นคนไข้ส้วมสำหรับคนรับใช้จึงต้องด้อยกว่าส้วมของเจ้านายซะหน่อย อันนี้ถ้าเดาผิดพลาดไปประการใดก็ต้องขออภัยท่านผู้อ่านนะครับเพราะจนถึงขณะนี้ ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้

สำหรับโรงพยาบาลที่คุณลูกน้องผมเข้าไปรักษาพยาบาลในครั้งนี้ต้องถือว่าเป็นโรงพยาบาลไฮโซระดับไฮเอนด์แห่งหนึ่งของอินเดียเลยทีเดียว ซึ่งถ้าจะเทียบกับโรงพยาบาลที่เมืองไทย ก็น่าจะประมาณโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อะไรทำนองนั้น ทำให้พวกเราคนไทยที่มุมไบมักจะเรียกโรงพยาบาลนี้กันเล่นๆ ว่าเป็น “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์แห่งมุมไบ” แต่ในความเป็นจริงแล้ว ต้องขอเรียนด้วยความเคารพว่ายังห่างชั้นจาก “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์แห่งกรุงเทพฯ” อีกหลายขุมนักเพราะแม้ว่าโรงพยาบาลระดับนี้ของอินเดียจะมีหมอเก่งและมีอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือทางแพทย์ที่ทันสมัยครบครัน แต่เรื่องระบบการให้บริการ ความสะอาด บุคลากร และความเนี้ยบนี่ยังไม่ถึงขั้นที่จะมาเทียบกับโรงพยาบาลในเมืองไทยได้ อันนี้ผมหมายถึงโรงพยาบาลทั่วไปของเมืองไทยนะครับ ไม่ต้องหมายไปเทียบกับระดับบำรุงราษฎร์ซะให้เหนื่อย

ที่ว่าระบบการให้บริการยังไม่ถึงระดับนี่ต้องเริ่มกันตั้งแต่ตอนพาคนไข้ไปส่งตัวเป็นคนไข้ในเพื่อเข้ารับการรักษาเลย คือ ทันทีที่เข้าประตูรั้วโรงพยาบาลก็ต้องเจอด่านอรหันต์ด่านที่หนึ่งทันที ด่านนี้จะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ทำการตรวจค้นร่างกายและกระเป๋าที่สะพายติดตัวมาอย่างละเอียดและเข้มงวดเพื่อตรวจหาอาวุธ วัตถุระเบิดและอาหารจากภายนอกเพราะโรงพยาบาลห้ามนำอาหารจากภายนอกเข้าไปในโรงพยาบาลอย่างเด็ดขาด

พอผ่านด่านนี้ไปได้ก็ไปยังด่านอรหันต์ด่านที่สอง คือ เคาน์เตอร์ลงทะเบียนสำหรับคนไข้ใน พอไปถึงเจ้าหน้าที่ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นแบบฟอร์มลงทะเบียนเพื่อเข้าเป็นคนไข้ในอย่างละเอียดให้คนไข้กรอกทันที พร้อมขอสำเนาหนังสือเดินทางประกอบอีกต่างหาก แต่ปรากฏว่าคุณลูกน้องผมเขาเป็นคนไข้เก่าเพราะเมื่อปีที่แล้วก็มาเป็นคนไข้ในเพื่อทำการผ่าตัดถึงสองหน ก็เลยยื่นบัตรประจำตัวของโรงพยาบาลให้เจ้าหน้าที่เพื่อให้นำไปเสียบหรือไปสแกนอ่านข้อมูลในบัตรแทนจะได้ไม่ต้องเสียเวลากรอกข้อมูล ซึ่งก็เป็นข้อมูลของคนไข้คนเดิมอยู่ดีจะต้องกรอกใหม่ไปทำไม แต่เมื่อเจ้าหน้าที่รับบัตรคนไข้ไปแล้วก็ยังยืนยันว่าต้องกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มดังกล่าวอยู่ดี โดยไม่ยอมอธิบายให้คนไข้ได้ทราบว่าทำไมต้องกรอกใหม่ แถมทำท่าจะไม่ยอมรับบัตรประจำตัวนักการทูตที่คุณลูกน้องผมส่งไปให้แทนสำเนาหนังสือเดินทางอีกต่างหาก เลยต้องเสียเวลาอธิบายกันอีกพักใหญ่ว่าบัตรประจำตัวนักการทูตที่ออกให้โดยรัฐมหาราษฏระนี้ดีกว่าสำเนาหนังสือเดินทางอย่างไร แต่ก็ต้องทำหน้าตาและน้ำเสียงขึงขังชนิดเข้มจัดๆ ใส่ เจ้าหน้าที่ถึงจะยอม ก็เสียเวลาไปพอสมควร ถึงขนาดคนไข้ออกปากว่าถ้าอาการหนักกว่านี้คงไม่ทันถึงมือหมอแน่

หลังจากผ่านด่านอรหันต์ด่านที่สองไปแล้ว ทีนี้ก็มาต่อด้วยด่านอรหันต์ด่านที่สาม ซึ่งก็คือเคาน์เตอร์การเงินที่คนไข้จะต้องชำระเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด...ขอย้ำว่าทั้งหมด ตามประมาณการของโรงพยาบาล โดยจะชำระด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิตก็ได้ทั้งจำนวนเมื่อผ่านด่านนี้แล้วคนไข้ถึงจะได้รับบัตรผ่านแขวนคอเพื่อเดินขึ้นไปที่ห้องพักเพื่อไปนอนรอหมอเพื่อรักษาพยาบาลกันต่อไป อันนี้ขอย้ำอีกทีว่าคนไข้ต้อง “เดิน” ไปที่ห้องพักเองนะครับ ไม่มีหรอกรถขงรถเข็นอะไรแบบที่เมืองไทย แถมระหว่างที่คนไข้เดินไปที่ห้องพัก ก็จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตรคอยตรวจสอบตลอดทางกว่าจะถึงห้องพัก

แต่ที่หนักกว่านั้น คือ หลังจากที่คนไข้ได้รับการรักษาด้วยการสลายนิ่วเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อนฝูงจะไปเยี่ยมคนไข้ก็ลำบากมาก เพราะเขาอนุญาตให้เฉพาะคนที่มีบัตรผ่านซึ่งมีอยู่เพียงหนึ่งใบเท่านั้นที่จะขึ้นไปเยี่ยมได้ทั้งๆ ที่คนไข้พักอยู่ในห้องพักประเภทห้องสวีท แต่ถ้าอยากจะขึ้นไปเยี่ยมคนไข้กันทุกคนก็ต้องผลัดกันขึ้นไปทีละคนสำหรับคนที่ยังขึ้นไปไม่ได้ก็ต้องรออยู่ชั้นล่างเพื่อรอคิวต่อไป เรียกว่ากว่าจะได้ขึ้นไปเยี่ยมคนไข้กันครบทุกคนก็ต้องรอจนหลับกันไปหลายตื่นทีเดียวและไม่ว่าจะเจรจาต่อรองกับเจ้าหน้าที่อย่างไร เจ้าหน้าที่ก็จะยืนยันเป็นกระต่ายขาเดียวว่าไม่ได้เนื่องจากเป็นกฎของโรงพยาบาล แหม ทีเรื่องแค่นี้ละก็เข้มงวดขึ้นมาซะจนเกินขนาด แถมคนที่รออยู่ชั้นล่างก็ยังถูกเจ้าหน้าที่ไล่ให้ไปหาที่นั่งอีก ห้ามยืนคุยกันด้วยข้อหาว่ายืนเกะกะกีดขวางทางคนเดิน พวกเราก็เลยตัดสินใจส่งตัวแทนขึ้นไปเยี่ยมคนไข้แล้วรีบสลายตัวออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านใครบ้านมันโดยทันที เพราะขืนอยู่ต่อไปคาดว่าจะกลายเป็นคนไข้เสียเองด้วยอาการเส้นโลหิตในสมองแตกแบบเฉียบพลัน

“โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์แห่งมุมไบ” จึงมีสภาพเหมือนคุกมากกว่าโรงพยาบาล ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ประกอบการไทยในธุรกิจโรงพยาบาลที่จะสามารถเข้าไปลงทุนเพื่อพัฒนาธุรกิจโรงพยาบาลในอินเดียได้อีกมาก เพราะอินเดียยังขาดโนว์ฮาวและประสบการณ์ในการบริหารโรงพยาบาลระดับไฮเอนด์อย่างที่ไทยถนัด ที่สำคัญตลาดการให้บริการด้านการรักษาพยาบาลในอินเดียคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 81.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2015 นี้ โดยมีอัตราขยายตัวเฉลี่ยต่อปีระหว่างปี 2012-17 อยู่ที่ร้อยละ 20 แต่ถ้ายังกล้าๆ กลัวๆ ไม่อยากไปลงทุนไกลถึงอินเดีย ผมก็ขอแนะนำอีกทางหนึ่ง คือ ดึงคนไข้อินตะระเดียให้มาใช้บริการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลหรูๆ ของไทยได้เช่นกัน...ชอบแบบไหนก็เลือกได้ตามใจชอบนะขอรับ