เลือกกันหรือยังว่าจะอยู่ "ไทยเหนือ" หรือ "ไทยใต้"

ความแตกแยกแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายในบ้านเมืองของเรา กำลังรุนแรงไปถึงขั้นมีคนเสนอให้แบ่งประเทศ
เป็น"ไทยเหนือ"กับ"ไทยใต้"ไปเลยดีกว่า
เรื่องนี้แรกๆ ใครๆ ก็มองว่าเป็นการ"ประชดกันเล่นๆ"แต่สถานการณ์ความบาดหมางระหว่างกลุ่มสนับสนุน คุณทักษิณ ชินวัตร กับกลุ่มไม่เอาตระกูลชินวัตร กลับหนักข้อขึ้นทุกที โดยฝ่ายหลังได้จัดตั้งมวลชนที่ชื่อว่า กปปส. ชุมนุมกดดันรัฐบาลรักษาการที่นำโดยน้องสาวคุณทักษิณให้ลาออกมานานถึง 3 เดือนเต็มแล้ว
ยิ่งชุมนุมยิ่งมีคนร่วมมาก และหลากหลายอาชีพมากขึ้น ทั้งนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ไปจนกระทั่งกลุ่ม "ดี-เด่น-ดัง" ไม่เว้นแม้กระทั่งดารา และข้าราชการระดับสูง ล้วนพาเหรดกันขึ้นเวทีชนิดที่เรียกได้ว่า "เปิดหน้าชน" และ "ไม่กลัวกันอีกต่อไป"
เข้าทำนองรัฐบาลหน้าด้านอยู่ได้ก็อยู่ไป คนรากหญ้า นักเรียนนักศึกษา จะเดือดร้อนกันขนาดไหน แต่ฝ่าย กปปส.ก็จะเดินหน้าชุมนุมชัตดาวน์กันไม่เลิก และแสดงอาการไม่ยอมรับรัฐบาลและนักการเมืองเครือข่ายระบอบทักษิณให้เห็นเด่นชัด กว้างขวางออกไปให้มากที่สุด
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็เดินหน้ากอดสิ่งที่ตนเองเรียกว่า "กติกาประชาธิปไตย" ด้วยการเดินหน้าเลือกตั้ง ประกาศภาวะฉุกเฉิน และใช้กำลังตำรวจเข้าปฏิบัติการแบบ 100% ใครจะไล่อย่างไร กองทัพแสดงอาการ "เกียร์ว่าง" ขนาดไหน ใครจะเป็นใครจะตายเท่าไรก็ไม่สนใจ ขอให้มีการเลือกตั้งสร้างความชอบธรรมให้ตนเองได้เป็นพอ
ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้หลายคนที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ อาจจะเรียกว่า "ไทยเฉย" หรือ "คนกลางๆ" ก็ตามที เริ่มคิดสะกิดใจกันแล้วว่า ไอ้ที่พูดกันจะแยก "ไทยเหนือ-ไทยใต้" ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ เพราะมันกำลังเป็นแล้ว
ดูจากการปิดหน่วยเลือกตั้ง ปิดได้เฉพาะที่กรุงเทพฯกับภาคใต้ และจังหวัดภาคกลางริมทะเลบางส่วน ขณะที่ภาคเหนือ-อีสานที่เป็นมวลชนกลุ่มใหญ่สนับสนุนรัฐบาลกลับไม่มีการปิด ทั้งๆ ที่มีชาวนาจำนวนไม่น้อยเจอปัญหา "วืดเงินจำนำข้าว" รุมเร้า
ครั้นจะให้ทหารออกมาปฏิวัติปิดเกมเหมือนเดิม ก็มีเสียงเตือนด้วยความมั่นใจจากคนเสื้อแดงว่า บรรดาขุนศึกที่คิดสั่งยึดอำนาจ กองกำลังระดับหัวๆ ท่านอาจสั่งได้ แต่กำลังพลรากหญ้าทั้งหลายท่านสั่งได้จริงหรือ บางคนพูดกันถึงขนาดว่าบรรดาทหารชั้นผู้น้อยจะหันปากกระบอกปืนไปทางผู้บังคับบัญชาของตัวเองหรือไม่
นี่คือสถานการณ์จริงที่เป็นอยู่!
การพูดหรือเปรยประมาณว่า "แยกประเทศกันไปเลยก็ดี" เริ่มได้ยินถี่ขึ้น และคนพูดหลายๆ คนชักจะพูดด้วยอารมณ์จริงจัง ไม่ใช่ประชดประชันกันอีกต่อไป
อารมณ์ความรู้สึกของผู้คนแต่ละฝ่ายล้วนใกล้ทะลักจุดแตก คนขายกาแฟที่ทำงานของผมใส่เนคไทสีธงชาติชงกาแฟให้เห็นกันจะจะ ทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิง พอเตือนเธอว่าระวังตัวนะ เพราะชักจะไม่ปลอดภัย เธอตอบเสียงจริงจังว่า "ถ้าใส่สีธงชาติแล้วจะตายก็ให้มันรู้ไป"
ขณะที่การให้สัมภาษณ์แบบเปิดใจของ คุณโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา ที่วันนี้นั่งเป็นคณะทำงานยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ตอนหนึ่งเล่าถึงความแตกแยกในบ้านเราว่าสาเหตุหลักๆ มาจากความไม่เป็นธรรมทางการเมือง (กรณีองค์กรอิสระเล่นงานกลุ่มการเมืองฝ่ายเดียว) และการเคลื่อนไหวแบบนอกกติกาของ กปปส.
"แต่ก่อนคนเหนือ อาณาจักรล้านนาก็รู้สึกว่าเป็นเมืองขึ้นของภาคกลางมาก่อน อีสานก็รู้สึกว่าเขาเป็นลาว ภาคใต้เขาเป็นปัตตานี ความรู้สึกเหล่านี้ถ้าถูกกระตุ้นขึ้นมาหมด ประเทศจะเหลืออะไร อย่าจุดขึ้นมา เพราะความรู้สึกแปลกแยกมีในความรู้สึกลึกๆ อยู่แล้ว ความรู้สึกไม่เป็นธรรมมีอยู่แล้วในหัวใจ แต่เราปลุกให้เห็นว่ามีความแตกแยกแต่เรายังอยู่กันได้ แก้กันไปโดยสันติวิธี เราต้องปลุกตัวนี้ จะปลุกความรู้สึกนอกกติกา (outlaw) ขึ้นมา ผมว่าอยู่กันไม่ได้"
นี่คือความจริงที่คนไทยทุกคนต้องยอมรับ และเลือกเอาว่าจะช่วยกันแก้ หรือช่วยกันทำให้มันเป็นอย่างนั้นเร็วขึ้น!




