จุดแกร่งแซงจุดอ่อน

จุดแกร่งแซงจุดอ่อน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ดิฉันได้มีโอกาสศึกษางานจากอาจารย์ Robert Sherwin หนึ่งในผู้เขียนหนังสือดัง เรื่อง How to Be Exceptional

ร่วมกับ อาจารย์ John Zenger และ Joseph Folkman

หนังสือเล่มนี้ มีเนื้อหาน่าสนใจยิ่งเกี่ยวกับแนวทางที่จะทำให้องค์กรสามารถสร้างผู้นำแบบ “ไม่ธรรมดา” ที่มีความโดดเด่นเป็นสง่า มีผลงานขั้น “กว่า” ส่งผลให้ทั้งตัวผู้นำและองค์กรก้าวล้ำเกินหน้าใครๆ

อาจารย์และทีมงานได้ทำการศึกษาและวิจัยพฤติกรรมของผู้นำกว่า 20,000 คนทั่วโลก

จากการวิเคราะห์ข้อมูล และเอกสารการประเมินพฤติกรรมผู้นำแบบ 360 องศาหลายแสนฉบับ ส่งผลให้ทีมงานเห็นประเด็นชัดเจนว่า

ผู้นำกลุ่มที่ถูกประเมินว่ามีพฤติกรรม “ดีธรรมดา” กับ กลุ่มที่ “ดีเด่น” สูงสุดเป็นอันดับ top 10 มีผลงานที่จับต้องได้อันเป็นประโยชน์ต่อองค์กร ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

อาทิ กลุ่มดีเด่น สร้างรายได้ ผลกำไร ความพึงพอใจทั้งต่อลูกค้าภายนอก และกลุ่มคนภายในด้วยกัน สูงแตกต่างอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับคนที่ได้รับผลประเมินว่าดีทั่วไป

คำถาม คือ แล้วทำอย่างไรหนอ ถึงจะพอได้เป็นผู้นำแบบ “ไม่ธรรมดา”

ข้อแนะนำสำคัญที่ทีมงานฟันธง คือ

การจะผู้นำแถวหน้าได้ มิใช่เน้นการแก้ไขเพื่อให้ไร้เสียซึ่งจุดอ่อน

หัวใจคือ ต้องสร้างความโดดเด่นให้เห็นประจักษ์

คอฟุตบอลลองนึกภาพ เลียวเนล เมสซี ผู้มีฝีเท้าขั้นเทพ

ที่เมสซีโดดเด่นจนได้รางวัลนับไม่ไหว ทั้งได้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า 3 ปีซ้อน มิใช่เป็นเพราะเขาฝึกจนเล่นเป็นทุกตำแหน่ง แต่เป็นเพราะความโดดเด่นของการเป็นกองหน้า

หากดาวฟุตบอลคนนี้ ใช้เวลาไล่เก็บแก้จุดอ่อนที่ไม่ถนัด ให้จัดได้ว่าผ่านทุกเรื่อง

โลกกีฬาคงต้องร้องไห้เสียใจ เพราะจะเพียงได้แค่นักฟุตบอลสำรอง ฝีมือน้องๆมาอีกหนึ่งคน

สตีฟ จ๊อบส์ ผู้สร้างอาณาจักร Apple Inc. จนยิ่งใหญ่อลังการ บรรจงสร้างนวัตกรรมไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น iPhone iPad และอีกสารพัด i จนทำให้คู่แข่งต้องลุกขึ้นมาพัฒนากันเป็นแผง ยังประโยชน์กับหลายวงการอุตสาหกรรม ตลอดจนผู้บริโภคตาดำๆทั่วโลก

สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่น เป็นเพราะความคิดสร้างสรรค์ที่มหัศจรรย์พันลึก

มิใช่เป็นเพราะไร้จุดอ่อน แม้ลูกทีมจะเห็นว่าเขาเป็นแรงบันดาลใจ แต่ไม่วายต่อว่า ว่าเป็นหัวหน้ามหาโหด

นั่นคือ สตีฟ จ๊อบส์ ผู้เกรียงไกร ก็ไม่ไร้จุดอ่อน

สรุปว่า จะเป็นผู้นำที่ไม่ธรรมดาได้ ต้องรู้ว่าจะเล่นเรื่องอะไร แล้วเอาให้ดีโดดเด่น โดยมีจุดอ่อนบ้างได้ ไม่เห็นแปลก

ที่น่าสนใจคือ พวกเราคนทำงาน ถูกปลูกฝังกันมาเนิ่นนานแต่เยาว์วัย ว่ายังไงๆก็ต้องแก้จุดอ่อน

นักเรียนตัวน้อย ค่อยๆยื่นสมุดพกให้พ่อแม่ เทอมนี้ได้ B เป็นส่วนใหญ่ มี A และ C อย่างละตัว

หลายท่านเอาหัวเป็นประกันได้ ว่าคุณพ่อคุณแม่ทั่วไป จะทั้งสนใจใส่ใจติดใจกับตัว C และจะหาสารพัดวิธี ที่จะพยายามทำให้เจ้า C ขยับเป็น B ให้ได้

ในมุมมองของหนังสือ How to Be Exceptional มีคำถามว่า

จะไม่ดีกว่าหรือ หากเอาพลังทั้งของลูกและพ่อแม่ ไปเสริมเติมให้ลูกเราเขามี A มากขึ้น โดยขยับปรับ B ที่มีอยู่เป็นทุนหนุนอยู่แล้ว

หรือ เน้นส่งเสริมเขาให้เข้าข่ายเป็น “ช้างเผือก” โดยมุ่งพัฒนา A ที่เขารักเขาชอบอยู่แล้ว ให้เป็น A๋
ไหนๆ ก็ไหนๆ เอาให้สุดซอย

เจ้าตัวกับดักรักจุดอ่อน เลยแอบซุกซ่อนอยู่ในกลีบสมอง และกลบมุมมองของคนทั่วไป ไม่ให้ใช้จุดแข็งให้เป็นประโยชน์

ทำให้ยามที่ต้องพัฒนาทั้งตนเองและลูกน้อง สิ่งที่มองเพื่อปรับ มุ่งจับเป็นประเด็นแรก กลายเป็นจุดอ่อนนั่นเอง

ผลก็คือ หากสามารถกล้ำกลืนฝืนปรับจุดอ่อนได้ เราก็คงจะสร้างผลงานได้เข้าข่าย “พอผ่าน” ยากที่จะให้ก้าวกระโดดเป็น “ดี” หรือ “ดีเด่น”

เพราะเราเล่นที่จุดอ่อนไง

ทั้งนี้ มิได้หมายความว่า กรุณาอย่ายุ่งกับจุดอ่อน ซ่อนเขาไว้ได้ในทุกๆกรณี

จุดอ่อนบางประการ ต้องได้รับการจัดการเป็นอันดับแรกสุด จุดแข็งอื่นใดรอได้

จุดอ่อนประเภทนี้ อาจารย์ Sherwin เรียกว่า Fatal Flaw

หรือจุดบกพร่องที่เป็นจุดฆาต พลาดไม่ได้

ไม่ใช่จุดอ่อนทั่วๆไป ที่มองข้ามได้ ไม่พาอับจน

สิ่งที่เข้าข่าย Fatal Flaw ล้วนเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกับหน้าที่ที่ต้องทำ

อาทิ เป็นทีมขาย แต่สื่อสารโน้มน้าวใจไม่เก่ง ย่อมต้องรีบเร่งแก้

แต่หากนักบัญชี ที่สื่อสารไม่ชำนาญพอกัน ก็อาจไม่ต้องหวั่นไหว เพราะคงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายสำหรับบทบาทบัญชี สู้เอาเวลาดีๆไปเร่งพัฒนาจุดแข็งอื่นใดที่มี เช่น ความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ ให้แข็งแกร่งขึ้น

ถือว่าคุ้มเวลาคุ้มค่ากว่ามากนัก

ฉันใดฉันนั้น การเป็นนักการเมือง เรื่องความซื่อสัตย์โปร่งใส หากทำไม่ได้ เป็นยิ่งกว่า Fatal Flaw

จุดดีอื่นใด ยังไม่นับ

เมื่อปรับแก้ Fatal Flaw ไม่ได้

ต้องไปสถานเดียว