ใช้ความขัดแย้งให้เป็นประโยชน์

ใช้ความขัดแย้งให้เป็นประโยชน์

สำหรับทางออกประเทศไทยภายใต้สภาวะการเมืองขณะนี้ ผมใคร่ขอเสนอทางออก โดยอาศัยความคิดรวบยอดจากประสบการณ์และจากการศึกษาจีน

โดยเฉพาะจาก คัมภีร์เต้าเต๋อจิง ซึ่งผมขอแปลว่า คัมภีร์แห่งสัจธรรมหรือเต๋า และ คุณธรรมหรือเต๋อ ของท่านปรมาจารย์แห่งปรัชญาเต๋า คือท่านเล่าจื๊อ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นยอดปราชญ์ แม้ท่านขงจื๊อยังนับถือเป็นครึ่งอาจารย์ เนื่องจากท่านขงจื๊อเคยกราบขอคำสั่งสอนจากท่านเล่าจื๊อ แต่ท่านเล่าจื๊อไม่รับ เนื่องจากเห็นว่าท่านขงจื๊อมีแนวความคิดเป็นของตนเองอยู่แล้ว จึงได้แต่ให้คำเสนอแนะบางเรื่องเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นท่านเล่าจื๊อยังเป็นที่ยกย่องเคารพนับถือให้เป็นบรมจารย์แห่งลัทธิเต๋า และเป็นยอดเซียนของเซียนทั้งปวง

เพื่อให้เข้าใจและเชื่อมั่นในข้อเสนอของผมยิ่งขึ้น ผมใคร่ขอสรุปเนื้อหาสาระที่สำคัญของคัมภีร์เต้าเต๋อจิงเฉพาะส่วนที่คิดว่ามีความเกี่ยวข้องกับข้อเสนอของผมอย่างพอให้ทราบถึงที่มาของความคิดผม ดังต่อนี้คือ

ในภาคหนึ่งของเต้าเต๋อจิงซึ่ง เป็นหมวดบรรยายถึงคุณลักษณะของสัจธรรมเท่าที่ปุตุชนจะเข้าใจได้ โดยในบทต้นๆ ของเต้าเต๋าจิง (บทที่ 2) ได้กล่าวไว้ว่า จากการที่เรารู้อะไรคือความดีงาม จึงมีสิ่งที่เรียกว่าไม่ดีงาม และยังได้กล่าวว่ามีและไม่มีต่างพึ่งพาก่อให้เกิดฝ่ายตรงข้ามกัน มียากจึงมีง่าย มียาวจึงมีสั้น ฉะนั้น จึงเป็นที่เราต้องเข้าใจได้ว่า สรรพสิ่งที่มีคุณสมบัติตรงข้ามนั้น ล้วนเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่อยู่ด้วยกันเป็นคู่ๆ มาช้านาน โดยตัวมันเองไม่ได้แยกแยะดีชั่ว แต่กลับมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดและเป็นประโยชน์เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ดังที่ในเต้าเต๋อจิงได้ยกตัวอย่างให้พิจารณาถึงสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่าบ้านต้องมีผนังเป็นสิ่งมีตัวตน และมีที่ว่างระหว่างผนัง ที่ให้คนเข้าอยู่อาศัยหรือเก็บสิ่งของได้ ฉะนั้น มีและว่างเปล่าจึงต่างมีหน้าที่ของมัน ขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไร้ประโยชน์

และในภาคสองของเต้าเต๋าจิง ซึ่งกล่าวถึงคุณธรรม ได้นำเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ ใช้วิธีที่สอดคล้องกับวิถีหรือกฎแห่งเต๋าหรือธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่งจะเป็นคุณ และยังแนะนำให้ยึดถือน้ำเป็นแบบอย่างกล่าวคือ ใช้วิธีนุ่มนวลดังน้ำที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตามสภาวะแวดล้อม อีกทั้งยังได้ชี้ให้เห็นว่า สรรพสิ่งเมื่อแรกเกิด ดังเช่นทารก ล้วนอ่อนนุ่มนิ่มแต่กลับมีพลัง จึงเจริญเติบโตได้ ส่วนของเก่าแก่ใกล้ตายยิ่งเรือนร่างคนตายจะเยือกเย็นไร้พลังและแข็งทื่อ พร้อมกันนี้ ยังได้กล่าวเน้นให้รู้ว่า แท้จริงแล้ว สรรพสิ่งล้วนมีแหล่งกำเนิดเดียวคือ เกิดจากแรกเริ่มในธรรมชาติที่มีแต่ความว่างเปล่า เมื่อมีการก่อเกิดสิ่งหนึ่งขึ้น จากหนึ่งจึงเกิดเป็นสอง สองเป็นสาม อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนมีสรรพสิ่งนับไม่ถ้วนดังที่เห็นในทุกวันนี้

ดังนั้นหากเราพิจารณาให้ดีแล้วยังไม่ยากที่จะเข้าใจได้ว่า ปรัชญาของท่านเล่าจื๊อดังที่ได้สรุปอย่างรวบยอดนั้น แท้จริงได้อิงอยู่บนหลักคิดพื้นฐานดั้งเดิมของจีนคือหลักหยินหยาง ซึ่งไทยมักนิยมเข้าใจเป็นหลักเหรียญสองด้าน แท้จริงเป็นคุณลักษณะของเอกภพทั้งหลายไม่ว่าใหญ่เล็กใดๆ ทั้งสิ้น

โดยยึดหลักสัจธรรมดังกล่าวผมจึงมีข้อเสนอดังนี้

แต่ก่อนอื่น ผู้เกี่ยวข้องต้องปรับเปลี่ยนเสริมแต่งแนวความคิดเล็กน้อยคือ

1. ยอมรับสรรพสิ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากพื้นฐานเดียว และโดยธรรมชาติเอกภพแต่ละเอกภพล้วนประกอบด้วยส่วนประกอบหลักสองสิ่งที่มีคุณลักษณ์ตรงข้ามกัน และแท้จริงแล้วทั้งสองส่วนต่างต้องพึ่งพากันไม่อาจแยกดีชั่วได้

2. หากพิจารณาว่าสิ่งสองสิ่งและหรือพฤติกรรมสองแบบที่มีคุณลักษณ์ตรงข้ามกันเป็นความขัดแย้ง เราจะเห็นว่าความขัดแย้งแท้จริงเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง ที่สรรพสิ่งได้อาศัยความขัดแย้งในตัวทำให้มีการขับเคลื่อน เปลี่ยนแปลง และวิวัฒน์หรือพัฒนาก้าวหน้าไม่หยุดยั้ง ดังตัวอย่างที่เห็นได้ทั่วไป คือ การหมุนกลิ้งไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงของกงล้อทั้งหลาย ล้วนเกิดขึ้นได้จากแรงผลักดันหรือดึงไปข้างหน้า และยังต้องอาศัยแรงเสียดทานของพื้นเป็นแรงต้านไม่ให้ล้อลื่นไหล หลักการการเคลื่อนไปข้างหน้าเช่นนี้เราจะสัมผัสรับรู้ได้ด้วยตนเองในขณะที่เราเดิน วิ่ง ไปข้างหน้าด้วย

ฉะนั้น ความขัดแย้งจึงเป็นธรรมชาติและเป็นเรื่องดี เมื่อเป็นเช่นนี้ ในสภาผู้แทนราษฎร หรือคณะบุคคลจึงต้องมีความขัดแย้ง คือ ไม่ว่าจะคิดทำการใดจะต้องมีฝ่ายสนับสนุนอยากทำและมีฝ่ายค้านไม่ให้ทำเสมอ

อย่างไรก็ดี แม้ความขัดแย้งเป็นเหตุการณ์โดยธรรมชาติ แต่ผลแห่งความขัดแย้งมิใช่จะมีแต่ทำลาย และ ทำให้ถอยหลังเท่านั้น แม้จริงหากเรารู้จักใช้และจัดการควบคุมใช้ความขัดแย้งให้เหมาะสมก็จะสามารถทำให้ก่อเกิดพลังสร้างสรรค์และนำไปสู่ความก้าวหน้า

เราสามารถอาศัยหลักกลศาสตร์หรือเรียนรู้จากกงล้อที่หมุนกลิ้งไปข้างหน้า จนได้หลักปฏิบัติคือ ประการที่หนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต้องมีจุดหมายร่วมในการขับเคลื่อน แล้วต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้พลังสองขั้วแห่งความขัดแย้งปะทะเข้าหาโดยตรง และทั้งแรงผลักดันและแรงต้านต้องวางตำแหน่งการทำงานที่เหมาะสม เช่น ในที่ประชุมจะต้องหลีกเลี่ยงการกล่าวหา ปะทะคารม แต่ฝ่ายผลักดันควรเสนอวิธีทำงานที่ก่อเกิดประโยชน์ ส่วนฝ่ายค้านก็คอยค้านต่อต้านไม่ให้ทำในสิ่งที่มิควร ทำได้อย่างนี้ก็จะได้ช่วยกันขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างได้ผลเป็นทวีคูณ

หลักการที่สองคือการยอมพลังนิ่มนวลที่เหนือกว่าความแข็งกระด้าง คือเมื่อเจออุปสรรคขัดขวาง จะต้องพยายามใช้ความนิ่มนวลเข้าขจัดปัญหา โดยอาศัยจังหวะจะโคนที่เอื้ออำนวย และรู้จักใช้เครื่องมือ วิธีการอย่างเหมาะสม เช่น หลบหลีกแรงปะทะที่พุ่งมาอย่างรุนแรง หากจะตอบโต้ก็ใช้แรงวิถีโค้งที่มีความนุ่มนิ่มกว่า หรือหลักคานงัดคานดีดที่ใช้แรงขัดที่ตรึงอยู่กับที่ คือจุดฟัลครัม ประกอบกับแรงงัดที่เคลื่อนไหว

ดังนั้น ผมจึงขอเสนอทางออกการสลายความขัดแย้งทางการเมืองเป็นอยู่ หรือทางออกของประเทศโดยสรุป ดังนี้

1. ทุกฝ่ายต้องผ่าทางตันด้วยการปรับความคิดคือ ยอมรับความจริง ในคนเดียวหรือฝ่ายเดียว แม้กระทั่งการกระทำใดๆ ย่อมมีส่วนประกอบสองสิ่งที่มีคุณลักษณะตรงข้าม รวมทั้งผลแห่งการกระทำจะได้ผลสองด้านที่ตรงกันข้ามด้วย สิ่งตรงกันข้ามโดยตัวมันเองจึงไม่อาจระบุอย่างชัดเจนได้ว่า ส่วนใดถูก ส่วนใดผิด แต่เราสามารถพิจารณาได้ว่าส่วนใดเหมาะสม ส่วนใดไม่เหมาะสม ภายใต้สภาวการณ์ในขณะนั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงควรยอมรับว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา และเป็นสิ่งดี และคู่ขัดแย้งนั่นแหละมีส่วนสำคัญที่ต้องร่วมมือช่วยเหลือในการจัดการแก้ปัญหา โดยใช้ทั้งวิธีต่อต้านคัดค้านในเรื่องที่ไม่เหมาะ และผลักดันส่งเสริมในเรื่องที่เหมาะสม เพื่อให้เรื่องต่างๆ นำไปสู่จุดหมายปลายทางที่ต้องการร่วมกัน

2. การแก้ปัญหาควรใช้หลักสันติวิธี ไม่รุนแรง หลีกเลี่ยงการกล่าวโจมตีซึ่งกันและกัน แต่ใช้วิธีชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำมากกว่า

เมื่อเป็นเช่นดังกล่าวได้ ผมเชื่อว่า ทุกฝ่ายจะได้เข้าสู่ที่พูดคุยเจรจาได้ในฐานะเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน

หลักการเจรจาควรมีวาระดังนี้

1. ทุกฝ่ายแสดงเจตนารมณ์และจุดประสงค์ของตน แล้วตกลงให้ได้จุดร่วมที่ต้องการบรรลุ

2. ทุกฝ่ายแสดงวิถีทางเดินของตนที่จะเดินไปสู่เป้า แล้วร่วมพิจารณาคัดกรองขั้นวิถีทางเหมาะสมที่ควรทำ และไม่ควรทำ

หากทำได้เช่นนี้แล้ว ผมเชื่อว่า ในที่สุด โดยผ่านขบวนการเจรจา ทุกฝ่ายจะสามารถหาทางออกและร่วมแรงกันนำพาประเทศชาติไปสู่มิติใหม่ที่ทุกฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยอาจไม่จำเป็นต้องถอยสักก้าวก็ได้

ส่วนผลจากการเจรจาควรเป็นเช่นไร ไม่มีความจำเป็นที่ต้องนำเสนอในที่นี้อีก เพราะมีการพูดกันมามากแล้ว ขาดก็แต่ยังไม่ยอมเข้าร่วมเจรจากัน ผมจึงเสนอให้ลองคิดแบบปรัชญาของท่านเล่าจื๊อหรือวิถีแห่งเต๋า หรือหลักหยินหยางหรือที่คุ้นเคยหลักการไท้เก๊กหรือเหรียญสองด้าน

ข้อมูลนักเขียน :

ปัจจุบันอายุ 70 กว่าปี การศึกษาพื้นฐานทางวิศวกรรมศาสตร์ อดีตนักการศึกษาผู้บริหารสถาบันอาชีวศึกษา

ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจปิโตรเลียม และผู้ชำนาญการอนุรักษ์พลังงาน ปัจจุบันสนใจเรื่องการศึกษาจีน โดยศึกษาจากหนังสือภาษาจีนโดยตรง

เคยเป็นวิทยากรในรายการ คิดแบบเอเชีย ในรายการของสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย เรื่องคัมภีร์พิชัยสงครามของซุนวู เป็นเวลา 1 ปี