มาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายอาญากับการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมในสังคมไทย

ในปัจจุบัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมไทยกำลังประสบปัญหาเนื่องมาจากอาชญากรรมซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและมีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ
เช่น เหตุการณ์ไล่ยิงกันที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก กรณีการข่มขืนเด็กหญิงแล้วฆ่าอย่างต่อเนื่อง หรือการฆาตกรรม 3 ศพในวันเด็กที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้หากเป็นการกระทำต่อเด็ก หญิงสาว หรือหญิงชราที่ถูกกระทำโดยทารุณด้วยแล้ว มักจะเป็นคดีที่สร้างความสะเทือนใจต่อสังคมเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการดำเนินคดีต่อผู้ก่ออาชญากรรมในหลายกรณีกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะเมื่อมีการยกเอาประเด็นความผิดปกติทางจิตใจของผู้กระทำผิด รวมถึงประเด็นอื่นๆ เช่น ความสำคัญผิดในข้อเท็จจริง แนวความคิด ความเชื่อทางสังคมหรือวัฒนธรรม สถานะทางหน้าที่การงานและสังคมของผู้กระทำผิด รวมไปถึงพฤติการณ์ที่เกิดจากตัวผู้เสียหายเองที่มีส่วนยั่วยุหรือส่งเสริมให้เกิดปัญหาขึ้นด้วย มาเป็นข้อพิจารณาเพื่อลดหย่อนโทษให้แก่ผู้กระทำผิดลง ประเด็นเหล่านี้ ในด้านหนึ่งอาจมองได้ว่าเป็นการให้ความเป็นธรรมแก่ผู้กระทำผิด แต่ในอีกด้านหนึ่งก็อาจส่งผลกระทบในทางลบทำให้ไม่สามารถลดการกระทำความผิดอาญาลงได้ เนื่องจากคนในสังคมขาดความเกรงกลัวกฎหมาย รวมถึงส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายเกิดความไม่เสมอภาคหรือเกิดการลักลั่นอันจะกระทบต่อความรู้สึกของประชาชน ซึ่งส่งผลต่อความยุติธรรมโดยรวมของสังคมได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น กรณีข่มขืนแล้วฆ่าเด็กหญิงหลายรายที่เป็นข่าวดังเมื่อเร็วๆ นี้ แน่นอนว่าตามประมวลกฎหมายอาญามีบทบัญญัติที่ค่อนข้างครอบคลุมการกระทำผิดและกำหนดโทษของความผิดฐานนี้ไว้แล้ว โดยกำหนดว่า ถ้าการข่มขืนกระทำชำเราแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปีจะต้องโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุทำให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตายแล้วโทษก็จะถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ทั้งนี้แล้วแต่ดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลผู้พิจารณา
ซึ่งในการต่อสู้คดีในศาล ข้ออ้างหรือข้อต่อสู้ของจำเลยที่ยกมาเพื่อให้ได้รับโทษน้อยลงหรือพ้นไปจากความผิดมักได้แก่การที่จำเลยเป็นผู้มีความผิดปกติทางจิต หรือจำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงทางกายภาพเมื่อเทียบกับอายุที่แท้จริงของผู้เสียหาย หมายความว่าเห็นสภาพร่างกายของผู้เสียหายแล้วเข้าใจไปว่าอายุเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดว่าการกระทำจะเป็นความผิดแล้ว หรือการอ้างว่าฝ่ายผู้เสียหายยั่วยุให้เกิดการกระทำผิดหรือแม้กระทั่งอ้างว่าผู้เสียหายสมัครใจก็มี ข้อต่อสู้เหล่านี้มีหลายกรณีที่ศาลรับฟังและวินิจฉัยลดโทษจำเลยลง ซึ่งแน่นอนว่าในบางกรณีก็อาจขัดต่อความรู้สึกของสาธารณชนทั่วไปได้
นอกจากนี้ ในการพิจารณาใช้ดุลพินิจกำหนดโทษของศาลเองก็เป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงกันอยู่ โดยทั่วไปเชื่อว่าศาลก็คงจะใช้ทฤษฎีการลงโทษตามหลักการของอาชญาวิทยาและทัณฑวิทยามาพิจารณาประกอบด้วย อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีการลงโทษนั้นก็มีหลากหลาย เช่น การลงโทษเพื่อเป็นการแก้แค้น ซึ่งส่งผลให้โทษอาจมีความรุนแรงเท่าเทียมกับความผิดที่กระทำ หรือก็คือหลัก “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” การลงโทษเพื่อข่มขู่ยับยั้ง ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ลงโทษผู้กระทำผิดเพื่อยับยั้งมิให้ออกไปกระทำความผิดอีก รวมถึงสร้างความเกรงกลัวและไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อบุคคลอื่น และการลงโทษเพื่อแก้ไขฟื้นฟู ซึ่งเป็นแนวความคิดว่าการลงโทษควรเป็นไปเพื่อฟื้นฟูผู้กระทำผิดให้กลับตัวเป็นคนดี จะได้ไม่กลับมากระทำผิดซ้ำ เป็นต้น
ทั้งนี้ การที่จะทราบว่าศาลลงโทษจำเลยตามแนวทฤษฎีใดนั้น เป็นการยากที่คนทั่วไปจะสามารถหยั่งรู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีหรือแนวนโยบายการลงโทษผู้กระทำผิดของฝ่ายตุลาการได้ เว้นแต่ว่าผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีจะเขียนเหตุผลหรือเป้าหมายของการลงโทษหรือไม่ลงโทษของตนไว้ในคำพิพากษาประกอบไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงจะสามารถทราบเป้าหมายของการลงโทษได้จากคำพิพากษาแล้ว แต่มาตรฐานที่สร้างแนวทางอันหนึ่งอันเดียวกันในวัตถุประสงค์การลงโทษของฝ่ายตุลาการก็ไม่เป็นที่รับทราบอยู่ดี เมื่อขาดความชัดเจน จึงทำให้ภาพแห่งความลักลั่นในการบังคับใช้กฎหมายอาญาของไทยปรากฏอยู่มากมาย เช่น บุคคลที่มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมดีขับรถยนต์โดยประมาททำให้คนตายแล้วไม่ต้องรับโทษ หรือบุคคลที่ดำรงตำแหน่งเป็นนักการเมืองหรือเป็นข้าราชการระดับสูงบุกรุกป่าสงวนแต่ก็ตำรวจหรืออัยการสั่งไม่ฟ้อง ในขณะที่ชาวบ้านธรรมดาถูกศาลพิพากษาจำคุกหลายปี เป็นต้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้สังคมเกิดคำถามต่อความแน่นอน ความเหมาะสม และความได้สัดส่วนของการบังคับใช้กฎหมายและการลงโทษในคดีที่เกิดอยู่บ่อยครั้ง และทำให้เราเห็นภาพของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายและการบังคับโทษจากสังคม จนหลายครั้งมีการแสดงออกในรูปที่ประชาชนต้องการลงโทษด้วยการประชาทัณฑ์เสียเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านอกจากสังคมจะรู้สึกเดือดแค้นกับการกระทำความผิดนั้นแล้ว อีกประการหนึ่งก็คงมาจากความไม่เชื่อถือในการใช้บังคับกฎหมายในการจัดการกับปัญหาอาชญากรรมด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ยังไม่รวมการลดโทษหรืออภัยโทษเนื่องในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ อีก อันทำให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษน้อยกว่าที่สังคมคาดหวังว่าควรจะเป็น
สิ่งเหล่านี้เป็นข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย ซึ่งคงต้องมีการหันกลับมาพิจารณาสร้างมาตรฐานเสียใหม่เพื่อสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น ก่อนที่สังคมจะสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบกฎหมาย แล้วแทนที่ด้วยการบังคับโทษด้วยตนเอง อันจะนำไปสู่ภาวะความปั่นป่วนวุ่นวายซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใครอยากให้เกิดขึ้น







