อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน

อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน

ผมไม่ทราบที่มาของประโยคที่นำมาขึ้นเป็นหัวคอลัมน์ในวันนี้ ทราบแต่ว่าประโยคเต็มๆ คือ "อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน"

ข้อมูลบางแหล่งจากการสืบค้นในอินเทอร์เน็ต บอกว่า เป็นคำกล่าวคล้ายๆ คติเตือนใจในยุคคอมมิวนิสต์ เพื่อให้ผู้คนในบ้านเมืองมีสติ ไม่สร้างความร้าวฉานให้เกิดกับประเทศของเรา

อย่าถึงฟ้าต่ำชัดเจนว่าเป็นเรื่องสถาบันเบื้องสูงอันเป็นที่เคารพ

อย่าทำหินแตกตีความว่าอย่าสร้างความขัดแย้งแตกแยกระหว่างผู้ใช้อำนาจอธิปไตย บ้างก็ตีกรอบอย่างแคบว่าหมายถึงหน่วยงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะทหาร ตำรวจ

อย่าแยกแผ่นดินก็ชัดเจนเช่นกันว่าหมายถึง อย่าทำอะไรให้เกิดความขัดแย้งแตกแยก ของคนในชาติจนอยู่ร่วมกันไม่ได้

ผ่านยุคคอมมิวนิสต์มาหลายสิบปี จนถึงปัจจุบัน ดูเหมือนว่า 3 เรื่องนี้ยังคงเป็นปัญหา และกำลังหนักหนาสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในห้วงที่มีวิกฤติทางการเมือง ผู้คนแบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย มีการล่วงละเมิดสถาบันเบื้องสูง

สิ่งที่ดูจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ คือ ความขัดแย้งและหวาดระแวงกันเองระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงด้วยกัน ทั้งที่สมัยก่อนบ้านเราแทบไม่มีปัญหานี้

ร่องรอยของความขัดแย้ง ไม่ได้เกิดจากปมปัญหา "หน่วยซีล" ของกองทัพเรือที่กำลังอึกทึกครึกโครมเท่านั้น แต่มีสถานการณ์ที่ก่อความหวาดระแวงมาก่อนแล้ว เช่น

- ฝ่ายการเมืองไม่ไว้วางใจทหาร เนื่องจากกลัวถูกปฏิวัติ จึงเลือกใช้ตำรวจเป็นหลักในการแก้ไขสถานการณ์การชุมนุม

- การประชุม ศอ.รส. (ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย) ชุดเล็กในระดับหน่วยงาน ระยะหลังไม่ค่อยมีการเชิญหน่วยอื่นเข้าร่วมมากนัก มีแต่ฝ่ายตำรวจซึ่งเป็นหน่วยหลักใน ศอ.รส.อยู่แล้ว

- การประชุม ศอ.รส.ชุดใหญ่ที่มีฝ่ายการเมืองเป็นประธาน จะมี 2 ขั้นตอน คือ ประเมินสถานการณ์ทั่วไป เชิญทุกหน่วยเข้าประชุมตามปกติ แต่ในชั้นวางแผนปฏิบัติการ จะไม่เชิญหน่วยที่ถูกมองอย่างไม่ไว้วางใจเข้าประชุมด้วย

- ฝ่ายทหารมีข้อมูลว่าถูกสะกดรอยจากหน่วยบังคับใช้กฎหมายบางหน่วย

- หน่วยงานความมั่นคงบางหน่วยสนับสนุนการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่ฝ่ายกองทัพคัดค้านมาตลอด

- เกิดกรณีจับกุม 3 ทหารเรือ ซึ่งมีข่าวว่าก่อนถูกจับ ทางฝ่ายลูกประดู่รู้ว่าถูกบางหน่วยสะกดรอย จึงมีปฏิบัติการตอบโต้บางอย่าง และภายหลังจึงถูกย้อนเกล็ดเอาคืน

- บทบาทของลูกประดู่ในสถานการณ์ชุมนุมทางการเมืองรอบนี้มีค่อนข้างมาก เนื่องจากลูกชายของแกนนำ กปปส.รายหนึ่งเป็นนายทหารเรือ และแกนนำเครือข่ายต่อต้านรัฐบาลบางรายเป็นอดีตนายทหารเรือระดับสูง จึงมีการขอกำลังไปดูแล

- เกิดกรณีปล่อยภาพนาวิกโยธินพัวพันการก่อเหตุรุนแรงต่อผู้ชุมนุม ซึ่งมีการกล่าวหาว่าเป็นการกระทำของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายบางหน่วย

- หน่วยงานความมั่นคงด้วยกันเองมีการตั้งทีมปฏิบัติการข่าวสาร (ไอโอ) หลายทีม คอยให้ข่าว แก้ข่าว ชี้แจงข่าว รวมทั้งปล่อยข่าวในบางกรณีเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น

นี่ยังไม่นับท่าทีแข็งกร้าวของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาผบ.ทบ. ที่ออกมาไล่จี้ให้ตำรวจเคลียร์คดีความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชน รวมทั้งผู้ชุมนุม และหลายๆ ครั้งยังให้สัมภาษณ์โยงสถานการณ์ไปถึงกรณี "ชายชุดดำ" เมื่อปี 53 พร้อมกับย้ำว่าตำรวจกับดีเอสไอยังไม่จัดการคดีเหล่านี้ด้วย

ล่าสุดมีข่าวว่าที่ประชุมฝ่ายความมั่นคงมีมติให้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อควบคุมสถานการณ์การชุมนุม และน่าจะรวมถึงการเลือกตั้งล่วงหน้า ในพื้นที่กรุงเทพฯที่มีความอ่อนไหวไม่น้อยด้วย

จากสถานการณ์ดังที่กล่าวมา คงต้องจับตาการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯเที่ยวนี้ หน่วยที่เคย"เกียร์ว่าง"เมื่อปี 53 อาจถูกผลักไปยืนแถวหน้า ส่วนหน่วยที่เคยยืนแถวหน้า จะขอใส่เกียร์ว่างบ้าง...

ดูเหมือนแผ่นหินที่เป็นฐานรองประเทศอยู่ กำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว!