หลายชีวิตในความเปลี่ยนแปลงของ "สลัม" ภาคใต้

หลายชีวิตในความเปลี่ยนแปลงของ "สลัม" ภาคใต้

ในวารดิถีขึ้นปีใหม่ ผมขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านประสพแต่ความสุข สมหวังตลอดปีครับ

แม้ว่าปีที่ผ่านมา บรรยากาศทางการเมืองอาจจะไม่ทำให้ไม่สบายใจและกังวลใจมากอยู่ แต่ก็ภาวนาว่าสังคมเราจะค่อยๆ ก้าวผ่านวิกฤติทางการเมืองไปได้อย่างไม่บอบช้ำมากนักครับ

ผมขอมอบบทความในวันนี้เป็นเสมือนของขวัญปีใหม่ให้แก่ท่าน ผมอ่านบทความเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมผ่านประวัติและประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลายของผู้นำชุมชนในเขตชุมชนแออัด” ของอาจารย์ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ แห่งคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ เป็นงานวิจัยพื้นที่ภาคใต้ โดยศึกษาชุมชนแออัดในจังหวัดสงขลา โครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการใหญ่ของท่านอาจารย์อคิน ระพีพัฒน์ ในชื่อโครงการวิจัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมผ่านประวัติและประสบการณ์ของหลายชีวิต

การศึกษาประวัติและประสบการณ์ชีวิตของผู้นำชุมชนแออัด (สลัม) เป็นการศึกษาประวัติชีวิตของคนตัวเล็กๆ ที่ได้ร่วมสร้างสรรค์ชีวิตของผู้คนในพื้นที่ที่ถูกใส่ “รหัสหมาย” (Codification) ไว้แล้วว่าเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมน่ารังเกียจของเมือง โดยผู้นำชุมชนได้พยายาม “ถอดรหัสหมาย” (Decode) ของพื้นที่เพื่อที่จะทำให้คนในชุมชนสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ในพื้นที่เดิมได้ต่อไป เพราะ “รหัสหมาย” ชุมชนแออัดได้ทำให้เกิดความเห็นพ้องของสังคมเมืองโดยรวมว่าไม่ควรอยู่ให้เป็นที่กีดขวางความเจริญและความสวยงามของเมือง

อาจารย์ณฐพงศ์ได้ทำให้เราเข้าใจการต่อสู้ของชีวิตคนตัวเล็กๆ ในพื้นที่ชุมชนแออัดที่สัมพันธ์อยู่กับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของทั้งในพื้นที่ชุมชนและสังคมภายนอก คนแต่ละคนไม่ได้อยู่เพียงลำพังหากแต่ชีวิตคนก็ต้องถักสานเครือข่ายทางสังคมไว้เสมอ เมื่อสังคมเศรษฐกิจภายนอกเปลี่ยนแปลงก็ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในชุมชน และส่งผลต่อเนื่องไปสู่สายใยความสัมพันธ์เชิงเครือข่ายทางสังคมที่ต้องแปรเปลี่ยนตามไปด้วยเช่นกัน

ชีวิตการเป็นผู้นำของคนในชุมชนแออัดไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ในสุญญากาศ หากแต่เป็นจังหวะที่ลงตัวกันระหว่างคุณสมบัติส่วนตัวของผู้นำคนนั้นกับเงื่อนไขความเปลี่ยนแปลงของชุมชนและความสัมพันธ์จากภายนอกชุมชน ขณะเดียวกัน เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในชุมชน คนในชุมชนกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหม่ๆ ผู้นำชุมชนแบบเดิมก็จะหมดบทบาทไป ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ทำให้ชาวชุมชนเลือกผู้นำคนใหม่ซึ่งมีบุคลิกอีกลักษณะหนึ่งมาเป็นตัวแทนของชุมชน การขึ้นมาเป็นผู้นำได้จึงไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะตัวผู้นำเท่านั้น หากแต่เป็นเพราะเงื่อนไขความเปลี่ยนแปลงของชุมชนเปิดหน้าต่างแห่งโอกาสให้แก่คน

ความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ชุมชนแออัดในสงขลาเกิดขึ้นอย่างน้อยสามช่วงเวลา ระยะแรกเป็นช่วงเวลาที่คนอพยพเข้ามาอยู่หนาแน่นมากขึ้นเพื่อแสวงหางานทำในเมืองในช่วงนี้ รัฐท้องถิ่นและสังคมโดยรวมยังไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวมากนัก และปล่อยให้ชุมชนดำเนินชีวิตของชุมชนไปตามลำพัง ช่วงของการก่อร่างสร้างชุมชนนี้ ผู้นำชุมชนมักจะเป็นผู้นำตามธรรมชาติซึ่งก็ประกอบไปด้วยผู้นำทางศาสนา ซึ่งมีทั้งผู้นำทางศาสนาอิสลามและพุทธ และผู้นำที่เป็นตระกูลใหญ่และดำรงตนเป็นผู้อุปถัมภ์หลักของชุมชน

ในช่วงแรกนี้ เนื่องจากกลไกอำนาจรัฐท้องถิ่นยังไม่สนใจเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย จึงทำให้เกิดการสร้าง “รหัสหมาย” ของการเป็นพื้นที่ที่ “น่ากลัว” “เสี่ยงอันตราย” เพราะมีนักเลง โจรผู้ร้ายประจำถิ่น การสร้างความหมายให้แก่พื้นที่เช่นนี้เป็นกระบวนการสร้าง “อัตลักษณ์” ไว้เพื่อป้องกันตนเองจากการรังแกของคนกลุ่มอื่นในสังคม

ต่อมาหลัง 2500 เมื่อรัฐท้องถิ่นได้เริ่มขยายตัวเข้าไปถือครองและเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่ในเขตเมือง/เทศบาล จึงได้เริ่มที่จะสร้าง “รหัสหมาย” ใหม่ให้แก่ชุมชน “นักเลง/โจร” ว่าเป็นภัยต่อสังคม เพื่อที่จะหาทางไล่รื้อ ชาวชุมชนได้สรรหาผู้นำชุมชนแบบใหม่ขึ้นมาเพื่อที่จะลดปัญหาการไล่รื้อ ช่วงนี้ ผู้นำชุมชนได้เปลี่ยนแปลงจากผู้นำทางศาสนาและผู้นำตามธรรมชาติมาสู่ผู้นำที่มีความสัมพันธ์กับกลไกอำนาจรัฐท้องถิ่น เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากผู้นำในด้านที่ต่อรองกับนักการเมืองท้องถิ่นไม่ให้ไล่รื้อ พร้อมกับเปลี่ยนตัวเองเป็นเสมือนหัวคะแนนและคนระดมคนไปช่วยงานเทศบาลเพื่อแลกกับการกระจายผลประโยชน์จากเทศบาลมาสู่คนในชุมชน

หลังทศวรรษ 2520 เมื่อองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานกับ “คนจนเมือง” มีโครงการทำงานในพื้นที่ชุนแออัดสงขลา โดยมุ่งเน้นในการทำงานเพื่อแก้ “รหัสหมาย” ชุมชนและสร้างฐานทางเศรษฐกิจที่เน้นการช่วยเหลือกันเองในชุมชน การคัดสรรผู้นำในชุมชนจึงได้แปรเปลี่ยนมาสู่การเลือกผู้นำที่สามารถทำงานกับนักพัฒนาเอกชนและสามารถที่จะดึงคนในชุมชนมาร่วมงานพัฒนาชุมชนตนเอง

พร้อมๆ กับการเกิดการทำงานพัฒนาชุมชนแออัด กลไกอำนาจรัฐท้องถิ่นได้ใช้ความพยายามมากขึ้นในการไล่รื้อชุมชน จึงทำให้ผู้นำชุมชนที่ทำงานร่วมกันนักพัฒนาเอกชนต้องปรับเปลี่ยนตัวเองมาเป็นผู้ที่พร้อมจะ “ชน” กับรัฐท้องถิ่น การเรียนรู้ที่จะต่อรองกับรัฐทุกรูปแบบได้เริ่มเกิดขึ้นมาในช่วงนี้

ความสำเร็จในการยันกับอำนาจรัฐท้องถิ่นไม่ให้เกิดการไล่รื้อส่งผลทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชุมชนอย่างมาก ที่สำคัญ ได้แก่ การร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์และอัตลักษณ์ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นตลาด “สะอาด” สินค้าจากทะเล กระบวนการการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการเปิดพื้นที่ออกให้แก่สังคม และมีผลต่อการ “ถอดรหัสหมาย” จากเดิมมาสู่พื้นที่ที่น่าเดินเพื่อซื้อหาของฝาก

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชนแออัดระยะสุดท้ายนี้ได้ทำให้เกิดความต้องการเปลี่ยนแปลงผู้นำในชุมชนตามไปด้วย ผู้นำที่เคยทำงานกับนักพัฒนาเอกชนกลับกลายเป็นผู้แพ้ในการเลือกตั้ง เพราะชาวชุมชนต้องการผู้นำรุ่นใหม่ที่ทำงานทางด้านธุรกิจและประสานกับกลไกอำนาจรัฐท้องถิ่นในการสร้างพื้นที่ท่องเที่ยวมากกว่าการจัดองค์กรช่วยเหลือกันเองในชุมชน

อาจารย์ณฐพงศ์ได้ทำให้เข้าใจได้ถึงความสลับซับซ้อนของความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ที่เดิมมองว่า “สลัม” มาสู่การเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว และความเปลี่ยนแปลงนี้ก็ได้สร้างผู้นำชุมชนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ขึ้นมา การทำความเข้าใจเช่นนี้จะทำให้เราเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสังคมดีขึ้นทั้งในระดับพื้นที่ และในระดับสังคม

สังคมไทยโดยรวมต้องทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่สลับซับซ้อนให้มากขึ้นครับ ไม่อย่างนั้น เราก็จะจมอยู่ในภาพมายาคติของสังคมแบบเดิมๆ ที่ไม่เอื้ออำนวยในการมองหาทางออกของประเทศได้ครับ