กรุงเทพโกลาหล?

เมื่อปี 2536 "ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์" นำเสนอ "ทฤษฎีไร้ระเบียบ" หรือ "ทฤษฎีโกลาหล" (Chaos theory) ของ Ervin Laszlo
ผ่านหนังสือ "ทฤษฎีความไร้ระเบียบ กับทางแพร่งของสังคมไทย" ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย
ข้อสรุปจากหนังสือเล่มดังกล่าว เป็นการเตือนให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ภายใต้การโจมตี ของคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงลูกต่างๆ ทั้งในระดับโลกและภายในสังคมไทยเอง ซึ่งทำให้สังคมไทยเข้าสู่สภาพความไร้ระเบียบ และอยู่ในทางแพร่ง
พ.ศ.โน้น "ชัยวัฒน์" ในฐานะนักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม ได้ร่วมกับมิตรสหาย จัดทำ "บางกอกฟอร์รั่ม" ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างภาคประชาสังคมในกรุงเทพฯให้เข้มแข็ง ด้วยการ "ปิดถนนพระอาทิตย์" เพื่อให้คนกรุงได้มีกิจกรรมร่วมกัน อันเป็นต้นแบบของการ "ปิดถนนสีลม" ในเวลาต่อมา
พ.ศ.ปัจจุบัน "ชัยวัฒน์" เป็นประธานสถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม (Civicnet) และเป็นหนึ่งใน "คณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" (กปปส.)
แนวความคิดทฤษฎีโกลาหล ได้ประกาศถึงศักยภาพของปัจเจกชน ในการสร้างศักยภาพเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีขึ้น เสมือนการกระพือปีกของผีเสื้อตัวเล็กๆ ก็ยังมีโอกาสทำให้ฝนตกได้
"ชัยวัฒน์" จึงเชื่อว่า พลังผีเสื้อกระพือปีก (butterfly effect) โดยหลักทฤษฎี กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร
บนรอยต่อระหว่างระบบเก่า ที่กำลังจะเสื่อมสลาย และระบบใหม่ที่รอคอยจะบังเกิด สถานการณ์เช่นนี้ในทางทฤษฎีไร้ระเบียบเรียบกว่า "ช่วงเปลี่ยนผ่าน"
มันสมอง กปปส. ระบุว่า "ระบอบทักษิณ" ที่มี "ยิ่งลักษณ์" เป็นตัวแทนกำลังเสื่อมสลาย และไม่ได้รับความชอบธรรม และความไว้วางใจจากประชาชน
ขณะที่ฝ่าย กปปส. ก็ยังไม่สามารถที่จะเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จได้ สถานการณ์ "ขั้นยัน" กันนี้ อีกไม่ช้าไม่นาน ก็จะเป็น "สุญญากาศทางการเมือง" ซึ่งจะกลายเป็น "สถานการณ์รัฐล้มเหลว" (failed state) ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
"ชัยวัฒน์" สรุปการลุกฮือของมวลมหาประชาชนว่า "การต่อสู้ของพลเมืองแข็งข้อนับล้านๆ คนครั้งนี้ จึงเป็นการต่อสู้ที่มีต้นธารจากมาตรา 3 ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ และมีความชอบธรรมในการล้มระบอบการปกครอง ที่ใช้เงินโดยคนมีเงิน (plutocracy) และสร้างประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริง (deliberative democracy)..."
ยุทธการ "ปิดกรุงเทพฯ" เสมือนการค้นพบ "จุดคานงัดของสังคม" เพียงแต่งัดเบา ๆ คานก็อาจเคลื่อนไหวได้
แต่ในโลกความเป็นจริง ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า "มวลชนนกหวีด" ปี 2556 เป็นปฏิกิริยาด้านกลับจากการเคลื่อนไหวปิดกรุงเทพฯของ "มวลชนเสื้อแดง" ระหว่างปี 2552-2553
ทำนองเดียวกัน การยกทัพจากชนบทเข้ายึดกรุงของคนเสื้อแดง ก็เป็นปฏิกิริยาด้านกลับของคนเสื้อเหลือง ที่ชุมนุมยืดเยื้อยึดทำเนียบรัฐบาล ต่อเนื่องจนถึงปิดสนามบิน ในปี 2551
ฉะนั้น การปิดกรุงเทพฯของมวลมหาประชาชน ในต้นปี 2557 มีแนวโน้มจะสร้างปฏิกิริยาโต้กลับจากอีกฝ่ายหนึ่งมากกว่าการถอยร่น และรอรับชะตากรรมเยี่ยงผู้ปราชัย
แม้แกนนำ นปช.จะไม่ประกาศนัดหมายให้คนเสื้อแดงออกมาชุมนุมใหญ่ "เปิดกรุงเทพฯ" แต่ก็เชื่อว่ามีคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยที่จะออกมาแสดงพลังคัดค้านการกระทำของมวลมหาประชาชนของ กปปส.
เพราะวิทยุชุมชนคนเสื้อแดงมากกว่า 20 สถานีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ช่องทีวีดาวเทียมฝ่ายเชียร์ยิ่งลักษณ์ หรือ "จอแดง" 6 ช่อง กำลังปลุกเร้าอารมณ์ด้วยวาจาแห่งความชิงชัง ก็ไม่ต่างจากช่องทีวีดาวเทียมฝ่าย กปปส. ก็มีแต่ปลุกระดมให้เชื่อว่า จะชนะตามที่กำนันย้ำแล้วย้ำอีกบนเวทีราชดำเนิน
จุดอ่อนความคิดทฤษฎีไร้ระเบียบ คือมองความเคลื่อนไหวเป็นเส้นตรง ซึ่งแท้จริงแล้ว ความขัดแย้งในสังคมไทย มันสลับซับซ้อน
ในทางปฏิบัติของทฤษฎีโกลาหล จึงมีโอกาสนำไปสู่สถานการณ์ "สงครามกลางเมือง" อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น







