ปัจเจกบุคคลปฏิรูปตนเองคือการปฏิรูปสังคม

การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งหรือการปฏิรูปที่แท้จริงนั้น ต้องเริ่มที่ต้นตอของปัญหานั่นคือปัจเจกบุคคล
กระแสการปฏิรูปการเมืองหมายรวมไปถึงภาคส่วนต่างๆ ของสังคมที่จุดขึ้นโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ซึ่งเป็นแกนนำคนสำคัญของกลุ่ม ปรากฏว่าได้รับการขานรับหรือเรียกว่า “จุดติด” ในเวลาอันรวดเร็ว โดยได้รับการกล่าวถึงกันอึงคะนึงอย่างที่เรียกตามภาษาฝรั่งว่า Talk of the Town หรือถ้าจะให้ถูกต้องก็อาจเรียกว่า Talk of the State เพราะเกิดขึ้นในขอบเขตทั่วประเทศทุกภาคส่วนไปแล้วนั่นเอง
การปฏิรูปที่ทางกลุ่ม กปปส. เสนอและได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางนั้น เป็นการปฏิรูประบบและโครงสร้างของสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเราสร้างขึ้น และเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับความต้องการของคนหมู่มาก ซึ่งแน่นอนเหลือเกินว่า การปฏิรูปในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นทุกยุคสมัย และไม่ใช่เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดผลดีแก่ทุกคน เพราะการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ดี เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งได้ประโยชน์ ย่อมมีคนกลุ่มหนึ่งเสียประโยชน์ ดังนั้น จึงไม่มีความยั่งยืน ความขัดแย้งก็ยังคงมีอยู่ แต่ถูกกดทับเอาไว้ด้วยโครงสร้างของระบบที่ได้รับการแก้ไขหรือปฏิรูปใหม่นั่นเอง เมื่อความขัดแย้งมากขึ้นก็จะมีการต่อต้านและเรียกหาการปฏิรูปอีกต่อไปเรื่อยๆ
การปฏิรูประบบและโครงสร้างของสังคมดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเป็นก็จริงอยู่ แต่ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการปฏิรูป การปฏิรูปที่สำคัญกว่าการปฏิรูประบบและโครงสร้างของสังคมก็คือการปฏิรูปตัวเองของปัจเจกบุคคล คือเราๆ ท่านๆ นี่เอง ที่จะเป็นฐานหรือเป็นเสาหลักให้การปฏิรูประบบและโครงสร้างของสังคมมีความยั่งยืนขึ้นได้
การปฏิรูปตนเองของปัจเจกบุคคลเป็นอย่างไร ข้อนี้ต้องอาศัยคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ การเตือนตนเอง หรือ อัตตนา โจทยัตตานัง ซึ่งครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านได้อธิบายว่า คือการกล่าวโทษตนเองว่ามีความผิด ความชั่ว ความเลว อย่างไรบ้าง แล้วให้ทำการแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น เป็นการเตือนสติตนเองให้รู้ดีรู้ชั่วของตนเองเพื่อรักษาสิ่งดีๆ ไว้และกำจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไป โดยไม่ต้องไปสนใจหรือมัวแต่จับจ้องหาความไม่ดีของผู้อื่นแล้วกล่าวโทษเขา เพราะการทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย มัวแต่ไปว่าผู้อื่นโดยไม่ดูตัวเอง แบบนี้ไม่มีวันที่จะพัฒนาตัวเองได้เลย หากเทียบเคียงกับปัจจุบัน อัตตนา โจทยัตตานัง อาจกล่าวได้ว่าเป็นการวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียข้อเด่นข้อด้อยของตนแบบที่เรียกว่า SWOT ซึ่งนำมาใช้ได้ทั้งกับองค์กรและกับปัจเจกบุคคลนั่นเอง
เราในฐานะปัจเจกบุคคลแม้จะมีสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยแต่ก็อยู่ในสังคมร่วมกับคนอื่นภายใต้กฎระเบียบของสังคม ดังนั้น เราจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคมเช่นเดียวกับคนอื่นๆ หากปัจเจกบุคคลพร้อมใจกันเคารพกฎกติกาก็ไม่มีปัญหาใดๆ หากเห็นว่ากฎกติกาใดไม่เหมาะสมก็ร่วมกันพิจารณาหาทางเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ของทุกคน ได้ที่เสียประโยชน์จากกำกติกาใหม่ก็หาทางชดเชยให้อย่างเป็นธรรม แบบนี้สังคมก็ไม่มีปัญหา หรือมีก็ไม่มาก มีแล้วก็แก้ไขได้ในที่สุด
แต่ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาต่างๆ จนทำให้ต้องเรียกร้องการปฏิรูปนั้นก็คือ ปัจเจกบุคคลต่างไม่เคารพกฎกติกาของสังคม ทั้งยังใช้กฎกติกาของสังคมแสวงหาประโยชน์แก่ตน ซึ่งเกิดขึ้นในทุกระดับชั้นของสังคม เมื่อใดที่ผลประโยชน์เกิดขัดกันก็ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายทำผิดกฎ เกิดการต่อสู้กันขึ้นเพื่อของผลประโยชน์ จากความขัดแย้งของปัจเจกบุคคลกับปัจเจกบุคคลกลายเป็นความขัดแย้งของกลุ่มชน ขยายไปในขอบเขตกว้างขวางลุกลามเป็นความขัดแย้งของสังคม เพราะต่างฝ่ายต่างมีผู้สนับสนุน ต่างฝ่ายต่างมีผู้ร่วมได้ประโยชน์และประโยชน์ ดังนั้น หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมานั้น การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปในวันนี้นั้น สาเหตุดั้งเดิมก็คือการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลแล้วขยายมาเป็นความขัดแย้งของสังคมก็คงไม่ผิดความจริงแต่อย่างใด
การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งหรือการปฏิรูปที่แท้จริงนั้น จึงต้องเริ่มที่ต้นตอของปัญหานั่นคือปัจเจกบุคคล หากปัจเจกบุคคลหันมาใช้ อัตตนา โจทยัตตานัง ตรวจสอบตนเอง หาข้อดี ข้อเสีย ข้อบกพร่องของตนเองแล้วแก้ไขให้ดีขึ้น เช่น เคยละเมิดกฎหมายก็ต้องหยุดการกระทำนั้นเสีย เคยแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบก็ต้องหยุดเสีย บรรดาผู้นำทางสังคมทั้งหลาย ทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. นักการเมืองทุกระดับ ข้าราชการระดับสูง ผู้นำกองทัพ ผู้นำองค์กร ผู้นำกลุ่มชน ผู้นำนักธุรกิจและเจ้าของกิจการ แกนนำ กปปส. แกนนำ นปช. ฯลฯ ต้องหันมาทบทวนตนเองว่าตนทำผิดอะไรบ้างก็เลิกทำในทันทีและชักชวนให้คนอื่นทำตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีทิฐิมานะเห็นว่าตนดีตนเด่นตนเป็นฝ่ายถูกต้องแต่เพียงคนเดียว แบบนี้ก็จงเลิกโดยพลัน แล้วหันหน้ามาฟังกันเพื่อหาทางสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ที่เรียกกันว่าปฏิรูปสังคมให้เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ทุกคน หากปัจเจกบุคคลต่างคนต่างทำเช่นนี้เป็นที่เชื่อได้เลยว่า การปฏิรูปสังคมนั้นมีความสำเร็จอย่างแน่นอน
พลังของปัจเจกบุคคลนั้นมีมากมายเกินกว่าจะประเมินได้ โดยเฉพาะปัจเจกบุคคลที่เป็นผู้นำนั้นย่อมมีอิทธิพลต่อคนเป็นจำนวนมาก หากปัจเจกบุคคลในฐานะผู้นำปฏิบัติเพื่อเป็นแบบอย่าง เชื่อแน่ว่า คนทั้งหลายก็จะปฏิบัติตามได้ไม่ยาก ดังปรากฏให้เห็นมากมายในประวัติศาสตร์ สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมเพื่อยกระดับจิตใจของปัจเจกบุคคลให้สูงขึ้นทั้งในระดับโลกียะคือการใช้ชีวิตในทางโลกและระดับโลกุตระคือการบรรลุธรรมสิ้นกิเลส เมื่อปัจเจกบุคคลมีความดีสังคมก็มีความดีด้วยเพราะปัจเจกบุคคลคือองค์ประกอบสำคัญของสังคมนั่นเอง
ถ้าเราต้องการปฏิรูปสังคมอย่างจริงจัง เราต้องปฏิรูปตนเองตามนัยที่ได้กล่าวมาแล้วจึงจะเกิดผลอย่างแท้จริง







