กฎระเบียบอียูที่ผู้ประกอบการด้านอาหารไทยและอาหารสัตว์ควรรู้ (2)

กฎระเบียบอียูที่ผู้ประกอบการด้านอาหารไทยและอาหารสัตว์ควรรู้ (2)

เมื่อ 2 ฉบับที่แล้ว ทีมงาน Thaieurope.net ได้ไขข้อข้องใจแก่ท่านผู้อ่านว่า ตามกฎระเบียบของอียู สารเจือปน (additives)

และสารปนเปื้อน (contaminants) ในอาหารและอาหารสัตว์คืออะไร ต่างกันอย่างไร และสารใดบ้างที่อียูอนุญาตให้ใช้ในอาหารและอาหารสัตว์ที่จะวางจำหน่ายในตลาดอียู

เนื่องจากกฎระเบียบของอียูไม่ได้มีผลบังคับใช้กับสินค้าที่ผลิตในประเทศสมาชิกอียูทั้ง 28 ประเทศเท่านั้น แต่ยังมีผลบังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นๆ ทุกประเทศที่จะวางจำหน่ายในตลาดอียูด้วย รวมทั้ง อียูมีความเข้มงวดกับสินค้าอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เข้มงวดกับสินค้าอาหารที่มาจากสัตว์เป็นอย่างมาก ซึ่งหมายรวมถึงสินค้าประมง นมและผลิตภัณฑ์นมด้วย เช่น กำหนดให้สินค้าอาหารที่มาจากสัตว์ที่จะวางจำหน่ายในอียูได้ จะต้องผลิตจากโรงงานที่อียูรับรองให้อยู่ในบัญชีรายชื่อโรงงาน ที่เรียกว่า “EU list of approved establishments” เท่านั้น

เพื่อให้ผู้ประกอบการด้านอาหารที่จะส่งออกอาหารไปยังอียูมีความเข้าใจกฎระเบียบอียูด้านความปลอดภัยด้านอาหารมากขึ้น และสามารถพัฒนาสินค้าให้เป็นไปตามกฎระเบียบที่อียูกำหนด ทีมงาน Thaieurope.net จึงขอให้ข้อมูลเชิงลึกเรื่องความปลอดภัยด้านอาหารแก่ท่านผู้อ่านเพิ่มเติม ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการออกกฎระเบียบของอียูในเรื่องความปลอดภัยด้านอาหาร อย่างคณะกรรมาธิการยุโรปด้านสุขภาพและผู้บริโภค (DG-SANCO) และผู้เชี่ยวชาญจาก European Food Safety Authority (EFSA) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทหลักในการประเมินความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยด้านอาหารและอาหารสัตว์ของอียู

โดยเริ่มจากสิ่งที่เห็นได้เด่นชัดที่สุด เวลาผู้บริโภคเห็นสินค้าในท้องตลาด ก็คือ ฉลากสินค้าที่บรรจุภัณฑ์อาหาร ซึ่งกฎระเบียบอียูในเรื่องดังกล่าวกำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 13 ธันวาคม 2557 โดยอียูกำหนดให้ต้องระบุข้อมูลต่างๆ ที่ฉลาก ได้แก่ ชื่ออาหาร รายชื่อส่วนผสมที่ต้องเรียงลำดับจากส่วนผสมที่มีน้ำหนักมากที่สุดลงมา ปริมาณหรือน้ำหนักส่วนผสมแต่ละรายการ (Quantitative Ingredient Description-QUID) น้ำหนักสุทธิ วันสุดท้ายที่อาหารยังคงมีคุณภาพดีเยี่ยม (best before) หรือ วันหมดอายุ (อย่างใดอย่างหนึ่ง) เงื่อนไขของการเก็บอาหาร หรือ วิธีการนำไปบริโภค (อย่างใดอย่างหนึ่ง) ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ประเทศแหล่งกำเนิดของอาหาร และข้อมูลสารอาหาร

สำหรับรูปแบบการให้ข้อมูลสารอาหารแบบใหม่ จะต้องปรากฏค่าพลังงาน ไขมันรวม ไขมันอิ่มตัว คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล โปรตีน และเกลือ โดยระบุค่าสารอาหารแต่ละรายการต่ออาหาร 100 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร หรือต่ออาหารที่จะเสิร์ฟใน 1 จานแก่ผู้บริโภค 1 คน (portion)

ในเรื่องข้อมูลสารอาหาร อียูจะยังอนุโลมให้แจงข้อมูลนี้ที่ฉลากได้ตามความสมัครใจ แต่ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2559 เป็นต้นไป อียูจะบังคับให้ต้องระบุข้อมูลนี้ที่ฉลาก

ไม่เพียงแต่เนื้อหาของข้อมูลเท่านั้น อียูยังต้องการสร้างความมั่นใจว่า ผู้บริโภคจะสามารถอ่านข้อมูลที่ฉลากได้ง่าย ไม่ถูกหลอกด้วยข้อมูลตัวจิ๋วที่ผู้ผลิตจงใจปกปิดผู้บริโภค อียูจึงกำหนดขนาดตัวอักษรที่จะปรากฏบนฉลาก ให้ใช้ตัวอักษรที่มีความสูงไม่ต่ำกว่า 1.2 มิลลิเมตร โดยอนุโลมว่า ถ้าพื้นที่ของผิวหน้าบรรจุภัณฑ์ด้านที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดเล็กกว่า 80 ตารางเซนติเมตร ก็อนุโลมให้ใช้ตัวอักษรที่มีความสูงไม่ต่ำกว่า 0.9 มิลลิเมตร

ในเรื่องภาษา หากผู้ประกอบการจะวางจำหน่ายสินค้าอาหารที่ประเทศสมาชิกของอียูประเทศใด ก็จะต้องใช้ภาษาที่ผู้บริโภคในประเทศนั้นสามารถเข้าใจได้ง่าย

สำหรับสินค้าที่วางจำหน่ายในตลาดอียูก่อนวันที่ 13 ธันวาคม 2557 และไม่เป็นไปตามข้อกำหนดใหม่ อียูก็จะอนุโลมให้วางจำหน่ายสินค้าคงเหลือได้จนหมด

ท่านผู้อ่านอาจต้องการทราบว่า ผู้ประกอบการสามารถระบุสรรพคุณทางสารอาหาร เช่น มีแคลเซียมสูง หรือ สรรพคุณของอาหารที่มีต่อสุขภาพ หรือ สรรพคุณว่าอาหารนั้นจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรค ที่ฉลากได้หรือไม่?

ในเรื่องนี้ อียูได้กำหนดว่า การระบุสรรพคุณประเภทต่างๆ ข้างต้นนั้น มีหลักการ คือ ห้ามให้ข้อมูลที่ผิด ข้อมูลที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด หรือแม้แต่ข้อมูลที่อ่านแล้วเข้าใจยาก มากไปกว่านั้น ข้อมูลสรรพคุณนั้น จะต้องไม่เป็นข้อมูลที่อ่านแล้วสร้างความสงสัยต่อความปลอดภัยหรือต่อสารอาหารของอาหารอื่นๆ อีกด้วย

นอกจากนั้น จะต้องเป็นข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับแล้วในวงการวิทยาศาสตร์ โดยท่านสามารถตรวจสอบรายชื่อว่า สารหรืออาหารรายการใดสามารถใช้ข้อมูลสรรพคุณที่ได้รับการรับรองแล้วได้ว่าอย่างไร ได้ที่ http://ec.europa.eu/nuhclaims หัวข้อ “EU Register on Nutrition and Health claims”

โดยกฎระเบียบเรื่องการระบุสรรพคุณนี้ เป็นกฎระเบียบที่แยกต่างหากจากกฎระเบียบฉลากอาหารข้างต้น ซึ่งปัจจุบัน ได้มีผลบังคับใช้ไปแล้ว

สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่จะต้องปรากฏข้อมูลในฉลาก ถ้าผู้อ่านยังจำกันได้ ทีมงาน Thaieurope.net เคยให้ข้อมูลเมื่อ 2 ฉบับที่แล้วว่า อาหารที่มีส่วนผสมของสารเจือปนในอาหาร (food additive) ซึ่งเป็นสารที่ไม่ได้ใช้บริโภคในฐานะอาหาร หรือใช้เป็นวัตถุดิบประกอบในอาหาร แต่เป็นสารที่จงใจใส่ในอาหารเพื่อวัตถุประสงค์ทางเทคนิค ได้แก่ สารจำพวกสีผสมอาหาร สารให้ความหวาน สารกันบูด สารแอนติออกซิแดนท์ สารคงรูป และอิมัลซิฟายเออร์ จะต้องปรากฏข้อมูลรายชื่อ food additive ในอาหารที่ฉลากด้วย โดยกำหนดให้ใส่ชื่อหมวดหมู่ของ food additive นั้นๆ และตามด้วยชื่อเฉพาะ หรือ E number ก็ได้ และหากสารดังกล่าวอยู่ในรูปวัสดุนาโน ก็จะต้องระบุคำว่า “nano” ใส่ในวงเล็บไว้ที่หลังชื่อสารด้วย

ในส่วนของข้อมูล food additive นี้ อียูก็มีกฎระเบียบแยกออกจากกฎระเบียบฉลากอาหารที่กล่าวถึงข้างต้น ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปแล้ว และผู้ประกอบการจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

ในเรื่องนี้ ทีมงานได้เคยนำเสนอไปแล้วว่า ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบรายชื่อ food additive ที่อียูอนุญาตให้ใช้ รวมทั้งเงื่อนไขและปริมาณการใช้ food additive นั้นๆ ในอาหารแต่ละประเภทที่อียูกำหนด ได้ที่ https://webgate.ec.europa.eu/sanco_foods

ในวันนี้ ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติม ในกรณีที่ผู้ประกอบการต้องการส่งออกตัวสารเจือปนในอาหาร เช่น สีผสมอาหาร ไปยังผู้ผลิตอาหารในอียู ซึ่งเป็นคนละกรณีกับข้างต้น ที่กล่าวถึงการส่งออกอาหารที่มีส่วนผสมของ food additive

อียูได้กำหนดให้เพิ่มเติมข้อมูลต่างๆ นอกเหนือจากให้ใส่ชื่อหมวดหมู่ของ food additive นั้นๆ และชื่อเฉพาะ หรือ E number โดยให้ระบุว่าใช้สำหรับอาหาร “for food” หรือ ใช้ในอาหารภายใต้ความควบคุม “restricted use in food” ระบุน้ำหนักสุทธิ วัน best before หรือ วันหมดอายุ (อย่างใดอย่างหนึ่ง) เลขครั้งที่ผลิต หรือ เลขที่ล็อตสินค้า (อย่างใดอย่างหนึ่ง) วิธีการใช้ เงื่อนไขพิเศษในการเก็บรักษาหรือการใช้ (ถ้ามี) ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิต หรือ ผู้บรรจุ หรือผู้ขาย ปริมาณการใช้ได้สูงสุด และอาการแพ้ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการบริโภคสารดังกล่าว

นอกจากนี้ มีคำถามว่า หากผู้ประกอบการต้องการใช้ food additive ที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีรายการที่อียูอนุญาตให้ใช้ จะสามารถยื่นคำขอต่ออียูเพื่อให้อนุญาตให้ใช้ food additive ที่ต้องการได้หรือไม่?

คำตอบคือ ได้ แต่จะต้องยื่นคำขอต่อคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 22 เดือน ที่ต้องใช้เวลานาน ก็เนื่องมาจากคณะกรรมาธิการยุโรปต้องพิจารณาอย่างรอบคอบโดยขอข้อคิดเห็นจาก European Food Safety Authority ซึ่งเป็นผู้ประเมินความเสี่ยง 9 เดือน ขอข้อคิดเห็นจากประเทศสมาชิกฯ/ภาคอุตสาหกรรม/ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอีก 9 เดือน เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภายุโรปและคณะมนตรียุโรป 2 เดือน แปลเป็นภาษาทางการของอียู 24 ภาษา และคณะกรรมาธิการยุโรปให้ความเห็นชอบและประกาศใน EU Official Journal อีก 2 เดือน ซึ่งข้อมูลที่ต้องใช้และกระบวนการสมัคร ปรากฏอยู่ที่ http://ec.europa.eu/food/food/fAEF/authorisation_application_en.htm

ทั้งนี้ ในเรื่องฉลากอาหารในภาพรวม สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องตระหนัก ก็คือ กฎระเบียบในเรื่องฉลากสินค้าที่บรรจุภัณฑ์อาหารนี้ ไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะ “อาหารในบรรจุภัณฑ์” ที่วางจำหน่ายในตลาด หรือ ซูเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้น แต่ยังบังคับใช้กับอาหารในบรรจุภัณฑ์ที่จะจำหน่ายในร้านอาหาร โรงอาหาร โรงเรียน โรงพยาบาล และธุรกิจเคเทอริ่งด้วย นอกจากนี้ จะส่งออกไปประเทศไหน ยังต้องดูกันให้ดี เพราะอียูได้อนุญาตให้ประเทศสมาชิกอียูแต่ละประเทศสามารถขยายความครอบคลุมของข้อบังคับเรื่องฉลากอาหารนี้ไปยัง “อาหารที่จำหน่ายในรูปแบบที่ไม่ได้อยู่บรรจุภัณฑ์” อีกด้วย

ท่านสามารถติดตามข้อมูลเชิงลึกของอียูที่มีผลกระทบสำคัญ หรือเป็นโอกาสต่อประเทศไทย ได้ที่ www.thaieurope.net และติดตามรับข้อมูลข่าวสารดังกล่าวได้ที่ Twitter ‘@Thaieuropenews’ และ facebook ‘Thaieurope.net’