'ฝักใฝ่การเมือง'ของข้าราชการ และนักธุรกิจหมายความว่าอย่างไร?

'ฝักใฝ่การเมือง'ของข้าราชการ และนักธุรกิจหมายความว่าอย่างไร?

กติกาเขียนไว้ที่ไหนไม่ทราบ แต่มีคนกล่าวอ้างว่าข้าราชการจะต้องไม่ “ฝักใฝ่การเมือง”

และหากแสดงออกอย่างนั้น จะมีความผิด ถูกลงโทษได้ด้วย

ระเบียบนี้ใครเขียนไว้ด้วยเหตุผลอันใดไม่กระจ่าง พอจะอนุโลมเดาได้ว่าการวางกฎเกณฑ์ปฏิบัติไว้เช่นนี้เพราะมีความเชื่อว่าข้าราชการต้อง “เป็นกลาง” ในการทำหน้าที่ ซึ่งหมายความว่าหากเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งแล้ว อาจจะไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นักธุรกิจไทยก็มีความเชื่อมาแต่โบราณกาลว่าต้อง “ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง” เพราะตีความกันว่าใครทำธุรกิจแล้วมีจุดยืนทางการเมืองอาจจะถูกผู้มีอำนาจกลั่นแกล้ง ตรวจภาษีย้อนหลัง หรือถูกจับผิดได้ง่าย

จึงเป็นประเพณีมาช้านานว่าข้าราชการกับนักธุรกิจจะไม่ “ยุ่งการเมือง” เพราะเป็นอันตรายกับสถานภาพของตนเอง มีแต่จะเสีย ไม่มีได้ ปลอดภัยไว้ก่อน บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของนักการเมืองแข่งขันต่อสู้กันไป

แต่วันนี้ ดูเหมือนว่าความเชื่อเช่นนั้นจะหายไป เพราะนักการเมืองและนักเลือกตั้งแสดงตนชัดเจนว่าเมื่อมีเสียงส่วนใหญ่ในสภาอันเกิดจากการบังคับขู่เข็นข้าราชการและนักธุรกิจให้ต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อตนได้ก็ออกกฎหมายอะไรก็ได้ทั้งสิ้น ไม่สนใจหลักนิติธรรมหรือผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่

เราจึงเห็นข้าราชการหลายกระทรวง หลายรัฐวิสาหกิจ ออกมาร่วมต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรม “เหมาเข่ง” อย่างเปิดเผย ไม่เกรงกลัวอิทธิพลของนักการเมืองผู้มีอำนาจต่อไป

คำว่า “ฝักใฝ่การเมือง” จึงมีความหมายใหม่ในสภาวะที่บ้านเมืองเข้าสู่ยุคของความเสื่อมถอย นักการเมืองขาดคุณธรรม นักเลือกตั้งใช้ภาษีประชาชนใช้นโยบาย “ประชานิยม” เพื่อหาเสียงชนะการเลือกตั้ง และเมื่อได้อำนาจมาแล้วก็พยายามครอบงำอำนาจทั้งด้านบริหาร, นิติบัญญัติ และตุลาการ

เมื่อนักการเมืองที่มีอำนาจทางการเมืองสั่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้ยอมตามตนไม่ได้ ก็ใช้วิธีข่มขู่ คุกคาม ติดสินบน และเมื่อบุคลากรด้านใดแสดงความเป็นมืออาชีพ ทำหน้าที่โดยสุจริต กล้าสวนทางกับอำนาจทางการเมือง ก็ประกาศไม่ยอมรับอำนาจของอีกฝ่ายหนึ่งทั้ง ๆ ที่ได้กำหนดบทบาทของการถ่วงดุลอำนาจของกันและกันอย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญ

ข้าราชการที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน สำนึกว่ากินเงินเดือนประชาชน ไม่ใช่ทาสรับใช้นักการเมืองย่อมจะต้องแสดงความคิดความเห็นทางการเมืองได้เฉกเช่นประชาชนทั่วไป อีกทั้งยังมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการแสดงความเห็นอย่างเสรีในเรื่องที่มีผลกระทบต่อประเทศชาติ

การที่ข้าราชการออกมาต่อต้านกฎหมายชั่วร้าย หรือวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านย่อมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่ผู้มีอำนาจจะใช้เป็นข้ออ้างเพื่อลงโทษ กลั่นแกล้งคือข่มขู่คุกคามไม่ได้

เราต้องชื่นชมข้าราชการที่ได้ออกมาต่อต้านพฤติกรรมเลวร้ายของนักการเมือง และพร้อมที่จะร่วมมือกับประชาชนที่เป็น “เจ้านาย” ที่แท้จริงของพวกเขาในอันที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างเปิดเผยและกล้าหาญ

นักธุรกิจรุ่นใหม่ได้แสดงความเป็นมืออาชีพอย่างน่านับถือ ด้วยการกล้ารวมตัวกันเพื่อแสดงจุดยืนทางการเมือง ไม่ยอมรับการกระทำของนักการเมือง ที่ปกป้องเฉพาะผลประโยชน์ของกลุ่มตน และไม่สนใจกับเสียงส่วนน้อย หรือ “ผู้ประกอบการ” ทั่วประเทศที่ต้องการให้นักการเมือง มีความสำนึกในความรับผิดชอบให้มากกว่าที่เห็นมาตลอด

นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่หวงแหนความเป็นประชาธิปไตย และต้องการเห็นการปฏิรูปของสังคมไทยอย่างแท้จริง จะต้องไม่มีพฤติกรรมเหมือนนักธุรกิจอีกประเภทหนึ่ง ที่เอาตัวรอดเพียงเพื่อให้ธุรกิจของตนทำกำไรต่อไป ด้วยการยอมก้มหัวให้นักการเมือง หรือรับใช้นักการเมืองโดยไม่สนใจว่าพฤติกรรมเช่นนั้นได้นำมาซึ่งความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างร้ายแรง

การเมืองวันนี้คือ “ธุรกิจการเมือง” โดยแท้ พรรคการเมืองใหญ่มี “เจ้าของ” เป็นนักธุรกิจระดับมหาเศรษฐี และบังคับให้ลูกพรรคของตนยกมือให้ออกกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของตนอย่างน่าละอาย

พฤติกรรม “ฝักใฝ่การเมือง” ของนักธุรกิจและข้าราชการที่ไม่รับผิดชอบคือการที่พวกเขายอมรับใช้นักการเมืองเพียงเพื่อตนเองจะได้ประโยชน์

แต่ข้าราชการและนักธุรกิจที่แสดงตนอย่างเปิดเผย ว่าจะไม่ยอมให้นักการเมืองนำพาประเทศ ไปสู่รัฐล้มเหลวเพราะการโกงกินและผลประโยชน์ทับซ้อน คือ “ประชาชนที่ไม่ยอมให้การเมืองเป็นเรื่องของนักการเมืองแต่เพียงฝ่ายเดียว” อีกต่อไป