ถอดรหัสนโยบายต่างประเทศของอินเดีย

ถอดรหัสนโยบายต่างประเทศของอินเดีย

เมื่อวันที่ 4-7 พ.ย.56 กระทรวงต่างประเทศอินเดียจัดประชุมเอกอัครราชทูตอินเดียทั่วโลกกว่า 120 คน ซึ่งน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายภายใต้รัฐบาลชุดนี้

เพราะกลางปีหน้าอินเดียก็จะมีการเลือกตั้งใหม่ และมีโอกาสที่จะสลับเปลี่ยนขั้วพรรครัฐบาลชุดใหม่ได้

โดยที่เป็นการประชุมปิดเพื่อระดมสมองในหมู่นักการทูตอินเดีย และมีการหารือร่วมกับภาคเอกชนสำคัญๆ ของอินเดีย ซึ่งก็คล้ายกับการประชุมทูตของไทย จึงไม่มีข้อมูลที่เปิดเผยมากนัก แต่อย่างน้อยหากลองพิจารณาแนวนโยบายที่นายกรัฐมนตรี มันโมหัน สิงห์ มอบให้บรรดาทูตอินเดียทั้งหลายในพิธีเปิดก็น่าจะพอถอดรหัสนโยบายต่างประเทศอินเดียในขณะนี้มาเล่าสู่กันฟังได้บ้าง

นายกรัฐมนตรีสิงห์ได้ให้แนวนโยบายไว้ 5 ข้อ คือ (1) นโยบายต่างประเทศของอินเดียจะต้องนำไปสู่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเกื้อกูลต่อความเป็นอยู่ที่ดีและการพัฒนาประเทศอินเดีย (2) อินเดียจะต้องบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลกให้ได้เพราะจะเป็นประโยชน์กับอินเดียเอง (3) อินเดียพร้อมที่จะร่วมมือกับประเทศมหาอำนาจทั้งหลายและประชาคมโลกในการสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของโลกที่นำไปสู่ความสัมพันธ์อันดีในระยะยาวและมีเสถียรภาพ (4) อินเดียจะผลักดันความร่วมมือภายในภูมิภาคและการสร้างความเชื่อมโยง (Connectivity) กับประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาค และ (5) นโยบายต่างประเทศของอินเดียจะต้องไม่ถูกจำกัดเพียงเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ แต่จะต้องผลักดันโดยค่านิยมของอินเดีย ซึ่งที่ผ่านมาอินเดียก็ได้ดำเนินนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศบนพื้นฐานของการเป็นสังคมพหุนิยม (Pluralism) แยกศาสนาออกจากการเมือง (Secular) และเป็นประชาธิปไตยแบบเสรี (liberal democracy)

แนวนโยบายทั้ง 5 ข้อข้างต้น เห็นได้ชัดว่าอินเดียก็พร้อมที่จะมีบทบาทในเวทีโลกอย่างแข็งขัน แต่ก็ต้องเป็นไปเพื่อความกินดีอยู่ดีของคนอินเดียด้วย ไม่ใช่เพียงเพื่อไปรวมหัวกับประเทศมหาอำนาจหนึ่งคานอำนาจอีกประเทศหนึ่ง และก็ต้องสอดคล้องกับค่านิยมแห่งรัฐที่จะสนับสนุนความเป็นประชาธิปไตย ไม่สนับสนุนรัฐบาลที่มาจากเผด็จการทหาร ซึ่งก็ไม่ใช่ของแปลกอะไร แต่เมื่อลองดูในเรื่องเศรษฐกิจแล้วจะเห็นว่ามีความน่าสนใจ 2 ประการที่จะถอดรหัสคือ ในเรื่องการบูรณาการกับเศรษฐกิจโลกและการสร้างความเชื่อมโยงภายในอนุภูมิภาค

ในเรื่องการบูรณาการกับเศรษฐกิจโลกนั้น ขณะนี้อินเดียลงนามความตกลง FTA กว่า 15 ฉบับ กับประเทศต่าง ๆ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ไทย และกับ 1 กลุ่มคือ อาเซียน และกำลังเจรจากับอีก 15 ประเทศ เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย ชิลี อิสราเอล และสหภาพยุโรป (EU) ที่ผ่านมาภายในรัฐบาลอินเดียเองก็ดูเหมือนจะมีความเห็นแตกเป็น 2 ขั้ว นายอานันท์ ชาร์มา รัฐมนตรีพาณิชย์ของอินเดียค่อนข้างที่จะสนับสนุนการเปิดเสรีการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ แต่ก็พยายามต่อรองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของภาคธุรกิจภายในประเทศและรองรับแรงกดดันจากรัฐบาลท้องถิ่นในบางรัฐ ซึ่งมิได้เป็นพันธมิตรกับพรรคคองเกรสและไม่ต้องการเปิดเสรีตามนโยบายของรัฐบาลกลาง ในขณะที่รัฐมนตรีคลัง นาย พี จิตดรัมบารัม ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเปิดเสรี โดยอ้างว่าที่ผ่านมาหลังจากมีความตกลง FTA การส่งออกของอินเดียก็มิได้เพิ่มขึ้น ปัจจุบันก็ส่งออกได้เพียง 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และสัดส่วนการส่งออกไปยังประเทศที่มีความตกลง FTA ก็คงที่ในระดับร้อยละ 36 เช่นเดียวกับเมื่อปี 2549 นอกจากนี้อินเดียยังคงประสบปัญหาขาดดุลการค้ากับต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยปักใจเชื่อว่าอินเดียไม่ได้ประโยชน์จาก FTA เลย

แต่สิ่งที่ผมเห็นว่าน่าจะเป็นปัญหาของอินเดียมิได้อยู่ที่เรื่อง FTA แต่น่าจะอยู่ที่ความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ลดลง การที่อินเดียยังมีปัญหาเรื่องโครงสร้างสาธารณูปโภคที่ไม่เพียงพอและไม่มีประสิทธิภาพทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าสูง (เช่น การขนส่งสินค้าจากรัฐทมิฬนาฑูไปเกาหลีใต้ทางเรือยังใช้เวลาน้อยกว่าขนส่งทางบกไปยังรัฐเกรละทางตะวันตกเสียอีก) นอกจากนี้ภาวะเงินเฟ้อของอินเดียที่สูงถึงร้อยละ 10 ต่อปีโดยเฉลี่ยทำให้ต้นทุนแรงงานสูงตาม ภาคอุตสาหกรรมจึงไม่สามารถแข่งขันได้ หากจะแข่งขันได้ก็ต้องอาศัยนโยบายที่ทำให้ค่าเงินรูปีอ่อนค่าลงไปเรื่อยๆ เพื่อให้ภาคส่งออกอยู่ได้ สุดท้ายแล้วสิ่งที่อินเดียสามารถแข่งขันได้ในขณะนี้ก็คือ การส่งออกแรงงานมีฝีมือ ไม่ว่าจะเป็นการส่งแรงงานมากกว่า 2 ล้านคนไปทำงานในตะวันออกกลาง หรือการให้บริการด้านไอที และบริการคอลเซ็นเตอร์ (ซึ่งอินเดียเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ลำดับที่ 2 ในบรรดาประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก โดยเป็นรองเพียงฟิลิปปินส์) ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่อินเดียจะพยายามผลักดันการเจรจา FTA ที่เหลืออยู่โดยมุ่งเรื่องการเปิดเสรีภาคบริการมากกว่าสินค้า เพราะอินเดียไม่มีทางสู้ในเรื่องการผลิตสินค้าอีกแล้ว

ส่วนในเรื่องความร่วมมือภายในอนุภูมิภาคนั้นยังนับว่าเป็นโจทย์ยากของอินเดีย ที่ผ่านมาประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคเอเชียใต้ 8 ประเทศได้รวมตัวกันจัดตั้ง South Asian Association for Regional Cooperation (SAARC) ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2528 หรือหลังอาเซียน 18 ปี แต่ก็ยังมีความก้าวหน้าน้อยกว่าอาเซียน ที่น่าแปลกก็คือในกลุ่ม SAARC มีเพียงอินเดียเท่านั้นที่มีพรมแดนติดกับทุกประเทศสมาชิก (ยกเว้นอัฟกานิสถานที่เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกเมื่อปี 2550 และมีพรมแดนติดเพียงปากีสถาน) นอกนั้นประเทศสมาชิกอื่น ๆ ก็ไม่ได้มีพรมแดนทางบกติดกับอีกประเทศหนึ่งเลย ดังนั้นอินเดียจึงกลายเป็นไข่แดงท่ามกลางประเทศสมาชิก SAARC ทั้งหมด การจะเสริมสร้างความร่วมมือและเชื่อมโยงกับประเทศสมาชิกในกลุ่มจึงต้องขึ้นอยู่กับแรงขับเคลื่อนของอินเดียเป็นหลัก

ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ราบรื่นหมด ด้วยความที่เป็นประเทศใหญ่สุดจึงถูกมองด้วยความระแวงและหวาดกลัวจากเพื่อนบ้าน ปากีสถานก็ยังมีปัญหากับอินเดียโดยถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายที่มาป่วนในอินเดียตลอดเวลา จนขณะนี้กลายมาเป็นเงื่อนไขว่าปากีสถานจะต้องยุติการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายในอินเดียเสียก่อน รัฐบาลอินเดียจึงจะคืนดีด้วย ส่วนศรีลังกาเองก็มีปัญหากับอินเดียเรื่องที่รัฐบาลสู้รบกับกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลมมากว่า 27 ปีและเพิ่งเอาชนะได้เมื่อปี 2552 กลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลมเป็นชนกลุ่มน้อยเชื้อสายทมิฬมาจากรัฐทมิฬนาฑูทางใต้ของอินเดีย และสงครามในช่วง 27 ปีที่ผ่านมาทำให้คนเชื้อสายทมิฬเสียชีวิตกว่าแสนคน ปัจจุบันนักการเมืองในรัฐทมิฬนาฑูที่สนับสนุนพรรคคองเกรสของรัฐบาลก็พยายามกดดันให้อินเดียประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในศรีลังกาและสนับสนุนให้นำตัวประธานาธิบดีศรีลังกาขึ้นศาลอาชญากรสงคราม เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนายกรัฐมนตรีสิงห์ก็ปฏิเสธไม่ไปร่วมประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศเครือจักรภพ (Commonwealth Heads of Government Summit) ที่ศรีลังกาเป็นเจ้าภาพ สำหรับประเทศเพื่อนบ้านที่เล็กกว่าก็ต้องพึ่งพาอินเดียในเกือบทุก ๆ ด้าน และตอนนี้อินเดียก็ต้องแข่งกับอิทธิพลของจีนที่พร้อมให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเหล่านี้เพื่อซื้อใจเพราะมีพรมแดนติดกับจีนเหมือนกัน

ในเรื่องการเชื่อมโยงนั้น นายกรัฐมนตรีสิงห์ถึงกับตั้งความใฝ่ฝันว่าอยากจะทำให้คนอินเดียสามารถกินอาหารเช้าที่เมืองอมฤตสาร์ (Amritsar) ในรัฐปัญจาบของอินเดีย แล้วเดินทางต่อไปกินอาหารกลางวันที่เมืองลาฮอร์ (Lahore) ในปากีสถาน และจบลงด้วยอาหารค่ำที่เมืองคาบูล (Kabul) ในอัฟกานิสถานให้ได้ แต่คงจะเป็นไปได้ยากหากสถานการณ์ความมั่นคงทางชายแดนระหว่างปากีสถานกับอินเดียยังไม่ดีขึ้น ทุกวันนี้ก็ยังมีการปะทะกันตามชายแดนอยู่ประปราย

สรุปแล้วการจะเสริมสร้างความร่วมมือและการเชื่อมโยงภายในอนุภูมิภาคคงไม่ง่ายนัก อินเดียจึงหันมาเชื่อมโยงกับอาเซียนภายใต้นโยบาย “มองตะวันออก” ของอินเดีย มากกว่า “มองภายในกลุ่ม SAARC ของตัวเอง” และตราบใดที่ยังมีปัญหาเรื่องความมั่นคงระหว่างอินเดียกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมดก็คงยากที่จะพัฒนากลุ่ม SAARC ให้ก้าวหน้าเหมือนอาเซียนได้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ยิ่งอาเซียนมีความสัมพันธ์กับอินเดียมากขึ้นเท่าไรอาเซียนก็จะเป็นตัวทำให้ความร่วมมือภายในกลุ่ม SAARC อ่อนตัวลงเท่านั้น เพราะทุกคนก็จะหันมาสนใจพัฒนาความสัมพันธ์กับอาเซียนมากกว่าพวกเดียวกันเองเสียอีก