ความไว้วางใจ สิ่งเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่

ในสถานการณ์บ้างเมืองที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ทำให้นึกถึงคำคำหนึ่งขึ้นมานั้นคือคำว่า ความไว้วางใจ
หรือถ้าเป็นภาษาอังกฤษสั้นๆ ว่า Trust ความหมายของคำคำนี้อาจจะเป็นสิ่งที่เราเข้าใจกันโดยทั่วไป แต่ก็เป็นสิ่งพวกเรามักจะมองข้ามความสำคัญของความไว้วางใจครับ
ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลไม่ว่าในรูปแบบใด ไม่ว่ารัฐบาลกับประชาชน ธุรกิจกับลูกค้า สามีกับภรรยา บิดา มารดากับบุตร เจ้านายกับลูกน้อง องค์กรกับพนักงาน เพื่อนกับเพื่อน ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่บนเจ้าคำว่า Trust ครับ ลองสังเกตซิครับว่าถ้าเมื่อใดก็ตามความไว้วางใจระหว่างกันหายไป ทั้งความสัมพันธ์ ความเชื่อใจ ความภักดี ความรัก ฯลฯ ก็จะสูญสิ้นไปด้วย และท่านผู้อ่านลองสังเกตดูต่อนะครับจะพบว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรานั้นส่วนใหญ่จะมีพื้นฐานมาจากการขาดความไว้วางใจระหว่างกันทั้งสิ้น
เมื่อใดก็ตามที่ประชาชนไม่ไว้วางใจรัฐบาล การชุมนุมเรียกร้องต่างๆ ก็จะเกิดขึ้น หรือ เมื่อใดลูกค้าไม่ไว้วางใจธุรกิจ ลูกค้าก็จะไม่ซื้อสินค้า หรือ เมื่อใดก็ตามที่พนักงานไม่ไว้วางใจองค์กร ความภักดี ความผูกพันก็จะหายไป หรือ เมื่อใดก็ตามเจ้านายไม่ไว้วางใจลูกน้อง เจ้านายก็จะไม่สามารถมอบหมายงานสำคัญให้ หรือ เมื่อใดก็ตามที่ภรรยาไม่ไว้วางใจสามี ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็จะมีปัญหา
เมื่อเจ้าความไว้วางใจเป็นสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่า ความท้าทายประการต่อมาก็คือทำอย่างไรผู้บริหารหรือบุคคลทั่วไปจะสามารถสร้างความไว้วางใจขึ้นมาได้? โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้นำทั้งหลายครับ ไม่ว่าผู้นำครอบครัว ผู้นำองค์กร หรือ ผู้นำประเทศ ความไว้วางใจจากบุคคลที่อยู่กับท่านถือเป็นพื้นฐานสำคัญสุดต่อความสำเร็จในฐานะผู้นำ ท่านผู้นำทั้งหลายจะต้องตระหนักไว้ด้วยนะครับว่าความไว้วางใจนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของแต่ละคน ไม่ใช่สิ่งที่สามารถสามารถหาซื้อกันได้ด้วยเงิน เงินอาจจะทำให้คนทำตามที่ผู้นำต้องการ แต่ไม่สามารถซื้อความไว้วางใจระหว่างบุคคลได้ ที่สำคัญความไว้วางใจจะเกิดขึ้นได้นั้นไม่ได้มาจากคำพูดครับ แต่มาจากการกระทำ ผู้นำบางคนอาจจะเป็นนักพูดที่ดี สามารถพูดโน้มน้าวใจได้เก่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะได้รับความไว้วางใจจากคนของเขา ถ้าสิ่งที่ผู้นำกระทำไปนั้นไม่ได้นำไปสู่ความไว้วางใจครับ
การกระทำที่จะสร้างความไว้วางใจนั้นไม่ยากครับ สำคัญคือจะต้องทำให้ทุกคนในองค์กรเห็นว่าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นเพื่อประโยชน์ขององค์กร ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตน ผู้นำที่ทำในสิ่งต่างๆ (ไม่ว่าในทางเปิดเผยหรือทางลับ) เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือของวงศ์ตระกูล แต่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมนั้นย่อมที่จะไม่ได้รับความไว้วางใจจากบุคคลในองค์กร เคยมีบางกรณีเหมือนกันครับที่ในทางเปิดเผยดูเหมือนว่าผู้นำจะกระทำเพื่อองค์กร เพื่อส่วนรวม แต่ในทางซ่อนเร้นแล้วกลับกระทำเพื่อพรรคพวกหรือเพื่อตนเอง ซึ่งอย่างที่ท่านผู้อ่านทราบกันอยู่แล้วว่า ความลับไม่มีในโลก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ทำโดยเปิดเผยหรือซ่อนเร้น ผู้นำก็ต้องเน้นไปที่ส่วนรวม หรือ องค์กรเป็นหลัก จึงจะได้รับความไว้วางใจ
ประการถัดมาคือเมื่อผู้นำพูดในสิ่งใดไปก็แล้วแต่ ก็จะต้องปฏิบัติตามในสิ่งที่พูดไปด้วย เราต้องอย่าลืมว่าคำพูดที่หลุดจากปากของผู้นำทุกคนและทุกประโยค ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ จะถูกบุคคลอื่นในองค์กรถือว่าเป็นคำพูดที่ผู้นำได้สัญญาหรือรับปากไว้แล้ว ดังนั้น ผู้นำเองจะต้องเป็นผู้ที่ระมัดระวังในสิ่งที่ตนเองพูดออกมา เนื่องจากถ้าพูดมาแล้ว และไม่ปฏิบัติตามในสิ่งที่ได้พูดไป ความไว้วางใจของลูกน้องและคนในองค์กรก็ย่อมจะหมดลงด้วยครับ
ในอีกมุมหนึ่งผู้นำที่จะสร้างความไว้วางใจได้ ก็จะต้องมีมุมมองและทัศนคติในเชิงของความไว้วางใจต่อผู้อื่นด้วยเช่นกัน ผู้นำควรจะต้องมีความไว้วางใจต่อลูกน้องและเพื่อนร่วมงาน ถ้าผู้นำที่ทำงานด้วยทัศนคติว่าไม่สามารถเชื่อใจหรือไว้วางใจผู้อื่นได้ ผู้นำคนนั้นก็ย่อมจะประสบกับปัญหาในการทำงาน เคยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งสอนผมเหมือนกันครับว่าบางครั้งความไว้วางใจที่เรามีต่อผู้อื่น ก็อาจจะทำให้เราดูซื่อ ไม่ทันคน แต่ถ้าให้เลือกว่าจะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจ ผมก็ยังเลือกที่จะมีความสุขในจิตใจด้วยการมองบุคคลรอบข้างด้วยมุมมองและทัศนคติที่ดีอยู่ครับ
ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับว่าปัญหาต่างๆ ไม่ว่าระดับประเทศ ระดับองค์กร หรือ ระดับครอบครัวนั้น ส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากเรื่องของความไว้วางใจ ซึ่งผมก็เชื่อว่าด้วยจุดเริ่มต้นนั้นความสัมพันธ์ต่างๆ จะเริ่มจากความไว้วางใจซึ่งกันและกันก่อน แต่เมื่อใดก็ตามผู้นำบริหารงานไม่ดี กระทำเพื่อตนเองหรือพรรคพวกมากกว่าส่วนรวม และไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่ได้พูดไว้ ความไว้วางใจดังกล่าวก็ย่อมจะหดหายไปดังเช่นตัวอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบันครับ และสุดท้ายตัวผู้นำก็ย่อมไม่มีความสุขในการทำงานและไม่สามารถนำองค์กรไปสู่เป้าหมายได้ครับ




