เมื่อ "ความรู้" ปลดล็อกการเติบโตของระบบทุนนิยม

เมื่อ "ความรู้" ปลดล็อกการเติบโตของระบบทุนนิยม

ข้อถกเถียงยาวนานในวิชาเศรษฐศาสตร์ก็คือ บทบาทของตลาดและบทบาทภาครัฐในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ

หลายคนเปรียบเทียบข้อถกเถียงนี้เสมือนสงครามความคิดระหว่าง "ตลาด" กับ "รัฐ" ในการจัดสรรทรัพยากรเศรษฐกิจและขับเคลื่อนการเติบโตของระบบทุนนิยม ซึ่งทั้งสองความคิดมีแนวคิดด้านวิชาการที่เข้มแข็งสนับสนุนทั้งคู่

นักเศรษฐศาสตร์จะมองว่า ทรัพยากรของระบบเศรษฐกิจมีจำกัด ภายใต้ข้อจำกัดดังกล่าว โจทย์ของเศรษฐศาสตร์ก็คือ ทางเลือก หรือ Choice ที่จะนำไปสู่การผลิต การบริโภค และการกระจายผลผลิตหรือรายได้ที่จะให้ประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม และจากที่เศรษฐกิจมีทรัพยากรจำกัด ความจำกัดนี้ก็นำมาสู่ความหายาก และเมื่อทรัพยากรหายากคำถามก็คือ กลไกไหนระหว่าง กลไกราคาของระบบตลาดและการแทรกแซงโดยมาตรการของภาครัฐจะมีประสิทธิภาพกว่ากัน ในการจัดสรรทรัพยากรเศรษฐกิจที่จะให้ประโยชน์สูงสุดต่อคนในสังคม ถ้าเป็นระบบตลาด กลไกราคาก็จะเป็นตัวนำ เป็นสัญญาณนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากร และในระบบเศรษฐกิจที่มีบทบาทภาครัฐสูง การแทรกแซงการทำงานของเศรษฐกิจโดยมาตรการและนโยบายของรัฐก็จะเป็นอีกกลไกหนึ่งที่จัดสรรทรัพยากรเศรษฐกิจ

แต่ในโลกความเป็นจริง ไม่มีเศรษฐกิจประเทศไหนที่พึ่งระบบตลาดล้วนๆ หรือพึ่งบทบาทภาครัฐร้อยเปอร์เซ็นต์ในการจัดสรรทรัพยากรเศรษฐกิจ ในทุกระบบจะมีทั้งสองส่วนผสมผสานกัน คือ มีทั้งระบบตลาดและบทบาทภาครัฐทำงานคู่กัน แต่น้ำหนักอันไหนจะมากกว่า คงจะขึ้นอยู่กับโครงสร้างเศรษฐกิจ และนโยบายเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ในแต่ละช่วง ภายใต้โครงสร้างดังกล่าวพฤติกรรมของระบบเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นที่เป็นผลลัพธ์ของการผสมผสาน ก็คือตัวกำหนดพลวัตของเศรษฐกิจ การเติบโตของเศรษฐกิจ ความเสี่ยง ตลอดจนโอกาสของการเกิดวิกฤติ และทุกครั้งที่เศรษฐกิจเกิดวิกฤติ ข้อถกเถียงก็จะเป็นประเด็นว่าสาเหตุของวิกฤติเป็นเพราะมีระบบตลาดใน ระบบเศรษฐกิจมากเกินไป หรือเพราะมีการแทรกแซงของภาครัฐมากเกินไป ตัวอย่างเช่น ในกรณีวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียเมื่อสิบหกปีก่อน นักเศรษฐศาสตร์หลายคนมองว่าเป็นผลจากภาครัฐที่แทรกแซงเศรษฐกิจมากเกินไป ทำให้เศรษฐกิจขาดความยืดหยุ่นที่จะปรับตัวต่อความเสี่ยงที่เกิดขึ้น

แต่พอเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สหรัฐและยุโรปในปี 2008 ข้อถกเถียงก็เปลี่ยนมาเป็นว่า วิกฤติเป็นผลจากความล้มเหลวของระบบตลาดที่นำมาสู่การสะสมความเสี่ยงที่มากเกินไป เกินความสามารถของเศรษฐกิจที่จะปรับตัว ทำให้เป็นภาระภาครัฐที่ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหา ทั้งโดยนโยบายการคลัง และนโยบายการเงินที่ได้ใช้อย่างเต็มกำลัง แต่ถึงปัจจุบันเราก็ยังไม่เห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและจริงจัง

ที่ผมเขียนประเด็นนี้ และพูดถึง “ความรู้” ว่าจะเป็นตัวปลดล็อกการเติบโตของระบบทุนนิยม ก็มาจากแนวคิดเศรษฐศาสตร์ใหม่จากหนังสือ “Knowledge and Power” หรือ “ความรู้กับอำนาจ” ที่กำลังอ่านอยู่ เขียนโดย นาย George Gilder ที่ให้ความเห็นว่า ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเติบโตจากการสะสมความรู้ ผู้ประกอบการเอกชนจะนำความรู้ดังกล่าวมาทดลองปฏิบัติ นำไปสู่การสร้างสรรค์ด้านความคิด นวัตกรรม การเติบโตของธุรกิจ และความมั่งคั่งของเศรษฐกิจ ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้วเศรษฐกิจโตจริงๆ ก็จากการลองผิดลองถูกของนวัตกรรมความคิดของผู้ประกอบการเอกชน โดยใช้ความรู้หรือข้อมูลที่มี ดังนั้น การสะสมความรู้คือ กลไกหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของระบบทุนนิยม โดย นาย Gilder ยกตัวอย่างเปรียบเทียบว่า สมัยยุคมนุษย์ถ้ำกับยุคปัจจุบันเราอยู่ในโลกใบเดียวกันที่ไม่แตกต่างกันในแง่ของสิ่งที่โลกมี เช่น ทรัพยากร แต่ที่ความเป็นอยู่ของคนสมัยนี้กับยุคมนุษย์ถ้ำแตกต่างกันก็เพราะ ผลของ “ความรู้” ที่ทำให้โลกเจริญก้าวหน้าได้ถึงขนาดนี้ และต่อไป “ความรู้” อีกนั่นแหละที่จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของระบบทุนนิยม

จริงๆ สิ่งที่ นาย Gilder พูดอาจไม่มีอะไรใหม่ แต่ก็ให้ความหมายสำคัญทั้งต่อปัญหาเศรษฐกิจโลกและปัญหาเศรษฐกิจบ้านเราขณะนี้

ประเด็นแรก ถ้าความรู้สำคัญ ซึ่ง นาย Gilder ใช้คำว่าข้อมูล หรือ Information ระบบเศรษฐกิจก็ควรจะเป็นระบบที่เปิดกว้างให้ความรู้ หรือข้อมูลสามารถเข้าถึงได้ทุกคน เพราะข้อมูลใหม่เหล่านี้เป็นปัจจัยขับเคลื่อนความคิดสร้างสรรค์ของผู้ประกอบการ นำไปสู่นวัตกรรมการลองผิดลองถูกของธุรกิจ นำไปสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเติบโตของเศรษฐกิจในที่สุด ดังนั้น สังคมที่ให้ความสำคัญกับการเปิดกว้าง การไหลเวียนหรือการกระจายของข้อมูล ก็จะเป็นสังคมที่มีศักยภาพในการสร้างสรรค์และเติบโตมากกว่าสังคมที่ปิดกั้นพลวัตดังกล่าว

ประเด็นที่สอง กลไกสำคัญที่ปิดกั้นการไหลเวียนของข้อมูลที่นาย Gilder พูดถึงก็คือ การแทรกแซงของภาครัฐผ่านการออกนโยบาย กฎหมาย หรือมาตรการต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม ทำให้พลังนวัตกรรมของภาคเอกชนถูกปิดกั้น ถูกทำลายลง ดังนั้น การบริหารเศรษฐกิจที่ดีจะต้องเน้นให้ระบบเศรษฐกิจสามารถใช้ประโยชน์ พลัง และความคิดสร้างสรรค์ของผู้ประกอบการเอกชนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่ามีพลังและศักยภาพจริงๆ ที่จะผลักขอบเขตหรือข้อจำกัดของการเติบโตของระบบทุนนิยมให้ทะลุออกไปได้อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น กรณีวิวัฒนาการด้าน IT หรือ Information Technology ที่ได้เปลี่ยนโลกธุรกิจ และความเป็นอยู่ของชาวโลกอย่างที่เราเห็น ในแง่นี้ บทบาทของภาครัฐที่เหมาะสมควรเป็นการสร้างภาวะแวดล้อมทางนโยบายที่สนับสนุนพลวัตของพลังสร้างสรรค์ของผู้ประกอบการ โดยนโยบายที่เน้นการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ (Rule of law) การมีวินัยด้านการคลังและการเงินของภาครัฐ ระบบภาษีที่ต่ำและมีประสิทธิภาพ และมาตรการและกฎระเบียบต่างๆ ของทางการที่เข้าใจง่าย ชัดเจน แน่นอน

ดังนั้น จุดทดสอบสำคัญว่าภาครัฐของประเทศทำหน้าที่ได้ดีหรือไม่ในการบริหารเศรษฐกิจจะดูได้จากความก้าวหน้าทางนวัตกรรมที่ภาคเอกชนของประเทศมี และบทบาทของนวัตกรรมที่นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจแบบไม่เคยมีมาก่อน ในประเด็นนี้ อยากจะให้นึกถึงประเทศเกาหลีใต้ที่ระบบเศรษฐกิจได้เปลี่ยนไปมากจากวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียที่เกิดขึ้นเมื่อสิบหกปีก่อน เพราะสามารถทำเรื่องนี้ได้ดี

ประเด็นที่สาม จากความคิดนี้ ความหมายสำคัญต่อปัญหาเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน ที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวจากวิกฤติที่เกิดขึ้น ก็คือการแทรกแซงของภาครัฐที่เข้ามาแก้ไขปัญหา (เช่น มาตรการคิวอี) อาจทำมากเกินไปจนปิดกั้นศักยภาพในการใช้พลังสร้างสรรค์ของผู้ประกอบการเอกชนที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจ แนวคิดนี้คล้ายกับของนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน เชื้อสายออสเตรีย นาย Joseph Schumpeter ที่วิเคราะห์ไว้เมื่อหกสิบปีก่อนว่า ระบบทุนนิยมจะเติบโตจากความเสียหายที่สร้างสรรค์ (Creative Destruction) เป็นช่วงๆ ซึ่งหมายความว่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกคราวนี้ก็คงฟื้นได้ ถ้าเรายอมให้พลังสร้างสรรค์ของผู้ประกอบการทำงานอย่างเต็มที่โดยไม่มีหรือลดการแทรกแซงของภาครัฐ

ท้ายสุด ย้อนกลับมาดูประเทศไทย แนวคิดดังกล่าว สะท้อนว่าเราคงต้องเดินทางอีกไกล เพราะนโยบายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสิบหกปีหลังวิกฤติปี 2540 ไม่ได้นำไปสู่การปฏิรูปเศรษฐกิจ หรือการสร้างนวัตกรรมของผู้ประกอบการอย่างจริงจัง และมากเท่าเกาหลีใต้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำนโยบายที่มุ่งไปสู่การสร้างภาวะแวดล้อมที่จะสร้างสรรค์พลังนวัตกรรมหรือ “ความรู้” ของผู้ประกอบการยังไม่เกิดขึ้น ที่มีก็คือเรายังคงอยู่ในวังวนเดิมของนโยบายที่มุ่งใช้การแทรกแซงของภาครัฐที่นับวันจะมากขึ้นๆ จนถึงขนาดแทรกแซงยกระบบ ยกอุตสาหกรรม เช่น กรณีจำนำข้าว

ดังนั้น ถ้า “ความรู้” เป็นอำนาจที่จะนำไปสู่การเติบโตและความมั่งคั่งของเศรษฐกิจ ประเทศไทยคงไปไม่ถึง ถ้าแนวคิดด้านนโยบายยังไม่เปลี่ยนแปลง