การที่ "สัตยาบัน" ของพรรคร่วมรัฐบาล

เรียกความเชื่อมั่นไม่ได้ และไม่สามารถลดแรงต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯฉบับ "เหมาเข่ง-สุดซอย" นั้น
หากใครได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์โลกจะไม่สงสัยเลยว่า เหตุใดสิ่งที่เรียกว่า "สัตยาบัน" โดยเฉพาะที่กระทำกันในหมู่นักการเมือง จึงแทบใช้การไม่ได้เลยสักครั้ง
O ศ.วันชัย วัฒนศัพท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันพระปกเกล้า เล่าให้ฟังว่า มีกรณีตัวอย่างสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากเยอรมันพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างเจ็บปวด ต้องถูกเฉือนดินแดนออกไป ปรากฏว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ จากการชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนถล่มทลาย มีอำนาจเบ็ดเสร็จ แล้วก็ประกาศจะทวงแผ่นดินที่ถูกเฉือนไปกลับคืน ทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสผวาว่าเยอรมันจะทำสงครามใหญ่โต
O ตอนนั้น เนวิลล์ แชมเบอร์เลน เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ติดต่อฮิตเลอร์มาเจรจาด้วย ปรากฏว่าฮิตเลอร์ยอมลงนามในสัตยาบันไม่ทำสงครามกับอังกฤษ แต่หมายความว่าต้องเอาดินแดนเช็คโกสโลวาเกียสลาย กลับคืนให้เยอรมัน เมื่อกลับไปอังกฤษ ปรากฏว่าแชมเบอร์เลนได้รับความนิยมจากประชาชนในช่วงแรกๆ ว่า สามารถเจรจากับฮิตเลอร์ได้สำเร็จ ภาพที่กลายเป็นประวัติศาสตร์คือภาพชูมือตอนลงจากเครื่องบิน เพราะฮิตเลอร์ได้ลงนามในสัตยาบันแล้ว สันติภาพจะเกิดขึ้นแน่นอน และได้ขยายเป็นนโยบายสร้างสันติสุข ป้องกันไม่ให้เกิดสงคราม
O แต่แล้วปรากฏว่าในปีรุ่งขึ้น เยอรมันก็บุกโปแลนด์ สัตยาบันที่อุตส่าห์ลงนามไว้และอังกฤษภูมิใจมากกลายเป็นไร้ผล แชมเบอร์เลนเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปไม่ได้ ส่งผลให้ วินส์ตัน เชอร์ชิล ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน และเชอร์ชิลก็ไม่ยอมเจรจากับฮิตเลอร์อีก
O จากประวัติศาสตร์ดังกล่าว หมอวันชัย บอกว่า การจะทำให้สัตยาบันน่าเชื่อถือ ต้องดูที่มาและภาษาท่าทางของคนที่ลงนามในสัตยาบันด้วย กรณีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เมื่อไม่ถึง 2 สัปดาห์ก่อนประกาศว่าจะ "สุดซอย" อย่างเดียวเท่านั้น ใครห้ามก็ไม่ฟัง แต่พอประชาชนออกมาคัดค้านกันมากๆ ก็กลับหลังหัน มาลงสัตยาบันว่าไม่เอาแล้ว แม้ว่าอีก 180 วันที่ร่างกฎหมายถูกยับยั้งไว้ จะสามารถหยิบมาพิจารณาใหม่ได้ แต่กลับไม่มีใครเชื่อ
O นี่คือ "ภาษาท่าทาง" ของคนในพรรคร่วมรัฐบาลที่ประชาชนเขาดูแล้วว่าไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าไว้วางใจ ทำให้สัตยาบันไม่ใช่ทางออก ที่สำคัญเป็นการลงนามฝ่ายเดียว ไม่ได้มีคู่ขัดแย้งหรือประชาชนมาร่วมลงนามด้วย แบบนี้ไม่มีทางได้รับความเชื่อถือ
O หมอวันชัย เสนอว่า รัฐบาลน่าจะมีทางออกที่ดีกว่าการลงสัตยาบัน คือเมื่อรู้ว่าตัวเองผิด ต้องแสดงสปิริตให้ประชาชนทั่วประเทศเห็นว่าท่านยอมรับผิด รู้สึกสำนึก และ "ขอโทษ" แต่ในเมื่อเป็นเรื่องใหญ่ การขอโทษเฉยๆ อาจจะไม่พอ อาจต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำที่ผิดพลาดนั้นด้วย...ความหมายคืออะไรถือเป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่ต้องเอาไปคิดดู







