สัดส่วนอาชีวะ: สายสามัญ จาก 34:66 เป็น 51:49?

สัดส่วนอาชีวะ: สายสามัญ จาก 34:66 เป็น 51:49?

น่าสนใจและน่าท้าทายมากเมื่อรัฐมนตรีศึกษา จาตุรนต์ ฉายแสง ดำริให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

(สพฐ.) ปรับสัดส่วนการเรียนการสอน สายอาชีวะศึกษากับสายสามัญจากเดิม 34:66 เป็น 51:49

เพราะเท่ากับพลิกประเพณีและกติกาการเรียน ระหว่างสายอาชีวะกับสายสามัญ ของระบบการศึกษาไทยโดยสิ้นเชิง

เรื่องนี้มีเหตุผลเพราะผมเคยได้ยิน จากแวดวงธุรกิจเอกชนอย่างหนาหูมาตลอด ว่าประเทศไทยขาดแคลนคนที่มีฝีมือด้านอาชีวะอย่างหนัก และเป็นสาเหตุหนึ่งที่เราไม่สามารถแข่งขันกับเพื่อนบ้านได้ เพราะเรามีแต่เด็กจบมหาวิทยาลัยที่ไม่มีทักษะ แต่ขาดคนเก่งด้านฝีมือแรงงานที่ซึ่งอุตสาหกรรมเกือบทุกด้านต้องการอย่างยิ่ง

ผมได้ยินคุณจาตุรนต์ พูดใน “วิทยุจุฬาฯ” วันก่อนว่าสูตรใหม่เพื่อผลิตสายอาชีวะให้มากขึ้นอย่างเร่งด่วนนั้นเป็นการ “ดูจากความต้องการของงานฝีมือเพราะประเทศต้องพัฒนา และมีการแข่งขันระหว่างประเทศเข้มข้นขึ้น”

รัฐมนตรีศึกษากล่าวถึงการจะเกิดขึ้นของโครงการใหญ่ ๆ ภายใต้งบ 2 ล้านล้านบาท เพื่อสร้างเครือข่ายคมนาคมขนส่งและอีก 3 แสน 5 หมื่นล้านบาท สำหรับโครงการน้ำ และหากรวมถึงการสำรวจความต้องการแรงงานฝีมือของอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะพบว่าต้องการคนจบจากอาชีวะศึกษาเป็นจำนวนมาก

ท่านยกตัวอย่างว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นิคมอุตสาหกรรมแห่งเดียวในภาคตะวันออก อาจต้องการแรงงานฝีมืออีก 4-5 แสนคน “ในขณะที่เรารับเข้ามาเรียนด้านอาชีวะได้ขณะนี้ปีละประมาณ 3 แสนคนเท่านั้น”

อัตราส่วนระหว่างอาชีวะกับสายสามัญอยู่ที่ 34:66

และที่เรียนสายสามัญต่อไปจนได้ปริญญานั้นก็มีสถิติจบแล้วตกงานสูงมาก, และสูงกว่าที่จบจากอาชีวะอย่างเห็นได้ชัด

จึงเป็นที่มาของการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของสังคมให้มากขึ้น

รัฐมนตรีศึกษา บอกว่า ประสบการณ์ของประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ รวมทั้งจีนก็ประสบปัญหาคล้ายกัน นั่นคือเด็กต้องการเรียนสู่ปริญญาตรีมากกว่าเรียนอาชีวะทั้ง ๆ ที่ความต้องการแรงงานด้านอาชีวะสูงกว่า

ยิ่งเมื่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ความต้องการที่จะมีคนทำงานที่มีความรู้ความสามารถทันต่อความเปลี่ยนแปลงด้านนี้ก็ยิ่งสูงขึ้น คนเรียนด้านอาชีวะที่ปรับตัวกับเทคโนโลยีได้ดีกว่า จึงมีความจำเป็นสูงขึ้นเช่นกัน

ประเทศไหนปรับตัวได้เร็วกว่า สามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือได้เก่งกว่า ก็จะได้ประโยชน์เพราะการลงทุนก็จะไปสู่ประเทศนั้น

อุปสรรคใหญ่หลวงสำหรับการแก้ปัญหานี้คือ “ค่านิยม” ของพ่อแม่ผู้ปกครองและเยาวชนไทยที่มุ่งแต่จะเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อให้ได้มาซึ่งปริญญา การเรียนทางสายอาชีวะถูกมองว่าไร้อนาคตและไม่มีศักดิ์ศรีเหมือนคนจบปริญญา

คุณจาตุรนต์ ยอมรับว่า การเปลี่ยนค่านิยมเช่นนี้ “ไม่ง่าย” แต่สภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจและสังคมไทย ก็น่าจะมีส่วนเปลี่ยนค่านิยมเช่นนั้นได้เช่นกัน

ใครที่คิดว่าเรียนสายสามัญ ได้ปริญญามหาวิทยาลัยแล้วจะได้งานทำเป็น “เจ้าคนนายคน” ก็จะต้องรู้ว่าคนเรียนมาสายนี้ก็พากัน “เตะฝุ่น” เป็นจำนวนไม่น้อย

การที่ทุกคนต้องการความสามารถในการ “ครองชีพได้ดีพอสมควร” นั้น จะต้องตระหนักในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

แม้ทุกวันนี้ การผลิตผู้จบสายอาชีวะก็ยังไม่ตรงกับความต้องการของตลาดและอุตสาหกรรม เพราะยังมีคุณภาพ, สมรรถนะ และขีดความสามารถไม่พอ จำเป็นต้องมาปรับตามคุณลักษณะที่วงการอุตสาหกรรมต้องการอย่างแท้จริง

ซึ่งก็แปลว่าจะต้องมีการปรับหลักสูตร, วิธีเรียน และการทำงานร่วมระหว่างสถาบันการศึกษากับเอกชนที่ใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่อีกมาก

ค่านิยมใหม่ที่ว่านี้คือคำว่า “นายช่าง” ต้องมีรายได้ดี ฐานะทางสังคมดี และเป็นบุคลากรที่มีค่าต่อสังคมไม่แพ้ “ผู้จัดการบริษัท” ทั่วไปด้วยซ้ำ

ซึ่งก็แปลว่าจะต้องไม่ใช่แค่การประชาสัมพันธ์หรือพูดแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่จะต้องมีพื้นฐานที่เป็นของจริงรองรับด้วยในทางปฏิบัติ

หากเป็นไปตามแผน กระทรวงศึกษาธิการจะต้องเร่งระดมความร่วมมือกับทั้งเอกชนและต่างประเทศ ลงมือแก้ทั้งหลักสูตร วิธีคิด และการเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการศึกษา, ผู้ปกครอง, สถานประกอบการและสภาอุตสาหกรรมกับหอการค้าอย่างเป็นกิจจะลักษณะ และประเมินผลกันอย่างต่อเนื่องจริง ๆ

การสร้างฝีมือแรงงานในระดับต่าง ๆ ของประเทศเป็นเรื่องสำคัญยิ่งต่อการสร้างชาติ สร้างผู้ประกอบการ และสร้าง “ฝีมือ” ที่ยิ่งวันยิ่งมีความต้องการมากขึ้น

ไม่ต้องถึงขึ้น 51:49 หรอกครับ, เริ่มต้นที่เป้า 40:60 ในสามปีข้างหน้า, ก็น่าจะเป็นความคืบหน้าที่น่าชื่นชมแล้ว