หนึ่งประชาคมเงินตรา หนึ่งมาตรฐานมหภาค?

Maastricht Treaty ลงนามกันในเดือนกุมภาพันธ์ 1992 และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 1993
นัยว่าเป็นหลักเกณฑ์สำหรับประเทศที่เข้าร่วมในกลุ่มประเทศ Euro เพื่อให้มีอัตราเงินเฟ้อภายในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินตราสกุลเดียวกันที่ใกล้เคียงกัน หรือ ที่เรียกว่า Convergence Criteria ซึ่งมี 5 ประการด้วยกัน คือ
1. อัตราเงินเฟ้อต่อปี เฉลี่ยในรอบ 12 เดือนต้องไม่สูงกว่า 1.5% จากค่าเฉลี่ยของประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำสุดที่ไม่ผิดปกติ
2. งบประมาณรัฐบาลในแต่ละปีต้องขาดดุลไม่เกิน 3% ของ GDP โดยมีข้อยกเว้นกรณีชั่วคราวหรือกรณีมีแนวโน้มกลับสู่มาตรฐาน
3. ภาระหนี้รัฐบาลต่อ GDP ต้องไม่เกิน 60%
4. อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศที่ยื่นใบสมัครเข้าประชาคมต้องเปลี่ยนแปลงไม่เกิน +/-15% และไม่มีการลดค่าเงินเป็นเวลา 2 ปี
5. อัตราดอกเบี้ยระยะยาว 10 ปีของหนี้สินรัฐบาลต้องไม่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาว 10 ปีโดยเฉลี่ยของประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำสุด 3 ประเทศที่ไม่ผิดปกติ เกินกว่า 2%
ECB จะเป็นผู้จัดทำค่ามาตรฐานของอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยระยะยาวพร้อมกับติดตามว่าประเทศใดสามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ได้เพียงใด
ในตอนที่เริ่มต้น Euro ประเทศที่ทำได้ตามหลักเกณฑ์มีจำนวน 11 จาก 12 ประเทศ ภายหลังมีเพิ่มอีก 6 ประเทศ ซึ่งรวมกรีกอยู่ด้วย เท่าที่ผ่านมาหลักเกณฑ์อัตราเงินเฟ้อกับอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องที่ทำได้ยากที่สุด โดยมีจำนวนประเทศที่ทำได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง
เหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังการจัดทำหลักเกณฑ์มาตรฐานสำหรับถือปฏิบัติในบรรดาประเทศที่อยู่ในเขตประชาคมเงินตราเดียวกันคือ การใช้จ่ายของรัฐบาลถือเป็นต้นเหตุแห่งความเลวร้ายของ ภาวะเงินเฟ้อ ภาระหนี้รัฐบาล ไปจนถึง เสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งปฏิบัตินอกหลักเกณฑ์จะส่งผลกระทบทางลบต่อประเทศอื่นๆ ที่อยู่ภายในประชาคมด้วย อันเป็นการเอาเปรียบประเทศอื่นๆ ภาวะเงินเฟ้อยังอาจเกิดได้จากการใช้จ่ายเกินตัวของภาคเอกชนด้วยการคาดคะเนต่อภาวะเศรษฐกิจในทางดี หรือ อาจเป็นการลงทุนโดยนโยบายรัฐบาลของวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่อาจจัดเป็นภาคเอกชน
ถ้าจะถามว่า Convergence Criteria ยากแก่การปฏิบัติหรือไม่ เราอาจพิจารณาจากสถิติในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ได้ผลดังนี้
1. อัตราเงินเฟ้อค่อนข้างใกล้เคียงกันยกเว้นประเทศเกิดใหม่ต่างๆ ในทวีปยุโรป
2. อัตราดอกเบี้ยเบิกเกินบัญชีภาคเอกชนที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่สูงมากกว่าอย่างชัดเจน เกิดขึ้นในสเปน นอกไปจากประเทศเกิดใหม่ในยุโรป
3. อัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมใหม่แก่ครัวเรือนระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี ที่สูงผิดปกติเกิดขึ้นในประเทศเกิดใหม่ในยุโรปบางประเทศ
4. อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี สูงกว่าปกติในประเทศไอร์แลนด์ กรีก โปรตุเกส กับประเทศเกิดใหม่ในยุโรปบางประเทศ
เป็นที่น่าสังเกตว่า อัตราเงินเฟ้อหรืออัตราดอกเบี้ยที่สูงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ในประเทศเกิดใหม่ในยุโรปที่ระบบการคลังยังไม่ดีนัก อัตราเงินเฟ้อหรืออัตราดอกเบี้ยที่สูงในประเทศที่ใช้ Euro อยู่แล้ว ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าถือเป็นความบกพร่องหรือละเลยอันเนื่องมาจากเหตุผลทางการเมืองในประเทศเหล่านั้นจนเกิดวิกฤติขึ้น นอกจากนี้ ประเทศอิตาลีที่แม้อาจจะยังไม่เกิดวิกฤติแต่ก็ถือว่ามีภาวะไม่ปกตินัก ก็มีอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่เกินกว่ามาตรฐานแม้ว่าจะไม่มาก
จากภาพประกอบ แสดงให้เห็นอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของประเทศกลุ่ม Euro ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติพร้อมๆ กันหลายประเทศ และ อัตราดอกเบี้ยมีความผันผวนมากตามความหวั่นไหวของตลาดที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจ แม้กระนั้นประเทศที่ทำไม่ได้ตามมาตรฐานก็ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ในปัจจุบันนี้ประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยเกินมาตรฐานมีจำนวนลดลง ประเด็นสำคัญที่จะชี้ให้เห็นในที่นี้คือ ตราบใดที่ตลาดมีข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ถูกต้อง อัตราดอกเบี้ยจะมีการตอบสนองตามภาวะตลาดและปรับตัวไปตามความรุนแรงของวิกฤติที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง สิ่งสำคัญอยู่ที่นักลงทุนจากประเทศกลุ่ม Euro ที่เข้มแข็งทางเศรษฐกิจได้พิจารณาข้อมูลของประเทศที่เกิดวิกฤติในขณะที่ทำการลงทุนก่อนวิกฤติอย่างรอบคอบเพียงใดหรือไม่อย่างไร ถ้าหากหน่วยเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้องแล้ว การปรับตัวของกลไกตลาดและกลไกราคาซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยย่อมจำกัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เกินสมควรได้
Tejasvi Srivangipuram (2013) แห่ง Univerisity of California, Berkeley ได้เขียนบทความเกี่ยวกับหลักเกณฑ์มาตรฐานของ ECB ว่า มาตรฐานเพียงหนึ่งเดียวที่ใช้กับประเทศ Euro ทุกประเทศ เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมเนื่องจากแต่ละประเทศมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนกัน เขาเสนอให้ใช้หลักเกณฑ์ของ Taylor ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับแต่ละประเทศให้แตกต่างกันไปตามอัตราเงินเฟ้อและการว่างงาน ดังนี้
อัตราดอกเบี้ย = 2% + 0.5 (ส่วนต่างอัตราเงินเฟ้อ) - อัตราว่างงาน
ถ้าหากพิจารณาหลักเกณฑ์ข้างต้นตามหลักการที่บรรยายไว้ข้างต้นแล้ว จะเห็นว่า การนำส่วนต่างอัตราเงินเฟ้อมาเกี่ยวข้องไม่เหมาะสม เพราะว่าอัตราเงินเฟ้อมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เกินสมควร ส่วนอัตราการว่างงานนั้นจะต้องปรับตัวโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้ได้ก่อนหน้าการเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจ ถ้าหากอัตราค่าจ้างและ/หรือ อัตราแลกเปลี่ยนไม่อำนวยให้เข้าร่วมประชาคมเงินตราโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนร่วมกับประเทศอื่น ก็ไม่ควรจะเข้าร่วมหรือได้รับการพิจารณาให้เข้าร่วมได้
Filippo Altissimo กับ Diego Rodriguez Palenzuela แห่ง ECB ร่วมกับ Pierpaolo Benigno แห่ง New York University ได้เสนอบทความร่วมกันในปี 2004 เกี่ยวกับความแตกต่างของเงินเฟ้อระหว่างประเทศภายในเขตเงินตราสกุลเดียวกันและปัจจัยต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังอันนำไปสู่ความแตกต่างเช่นนั้น พวกเขาพบว่า ส่วนต่างของอัตราเงินเฟ้อระหว่างประเทศมาจากสินค้านอกภาคการค้าระหว่างประเทศหรือสินค้าที่ใช้ภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ประเทศหนึ่งประเทศใดอาจมีอัตราเงินเฟ้อที่แตกต่างกันไปตามโครงสร้างทางเศรษฐกิจได้ด้วยโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจบางประการ เช่น กลไกการกำหนดราคา การแข่งขันในตลาดสินค้าและบริการ และ รสนิยมกับเทคโนโลยี แม้ว่าจะได้รับผลกระทบภายนอกที่เหมือนกันหรือแม้แต่นโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเป็นอัตราเงินเฟ้อและปริมาณการผลิตในเชิงมหภาคโดยรวม นอกจากนี้ ประเทศกลุ่ม Euro ยังมีการตอบสนองในรูปอัตราเงินเฟ้อต่อราคาพลังงานแตกต่างกันตามประเทศด้วย แต่ที่น่าสนใจคือ ในภาคสินค้าระหว่างประเทศ ในประเทศเหล่านี้ไม่มีความแตกต่างของอัตราเงินเฟ้อที่เป็นผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ส่วนต่างของอัตราเงินเฟ้อระหว่างประเทศในกลุ่ม Euro มีลักษณะคล้ายกับส่วนต่างของอัตราเงินเฟ้อในเมืองใหญ่ๆ 14 แห่งทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา
Laura Moretti ได้ทำการศึกษาถึงส่วนต่างของอัตราเงินเฟ้อและปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังของประเทศต่างๆ ที่อยู่ในกลุ่ม Euro และได้ข้อสรุปเบื้องต้นในปี 2013 ว่า การใช้เงินตราสกุลเดียวกันตั้งแต่ปี 1999 พร้อมๆ กับการลดข้อจำกัดของตลาดสินค้าในประเทศต่างๆ ในกลุ่ม Euro ทำให้อัตราเงินเฟ้อโดยรวมลดลงมาก แต่ข้อจำกัดของตลาดแรงงานที่ยังคงเหลืออยู่มากทำให้อัตราเงินเฟ้อกลายเป็นปรากฏการณ์ประจำและอัตราเงินเฟ้อไม่ตอบสนองต่อกำลังการผลิตหรือการว่างงานที่ยังคงเหลืออยู่ในระบบเศรษฐกิจ กล่าวโดยง่ายคือ แม้ว่าระบบเศรษฐกิจจะมีกำลังการผลิตเหลือหรือมีคนว่างงานอยู่ อัตราเงินเฟ้อก็ยังไม่ลดลงหรือสินค้าที่ขายอยู่ไม่ยอมลดราคาหรือชะลอการขึ้นราคาลง นอกจากนี้การไหลเข้าของเงินทุนภาคเอกชนยังมีผลกระทบอย่างสำคัญต่ออัตราเงินเฟ้ออีกด้วย
เท่าที่ได้อภิปรายมาตั้งแต่ต้นโดยเริ่มต้นด้วยสภาพของตัวแปรทางเศรษฐกิจอันได้แก่ อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะเห็นได้ว่า ประเทศในกลุ่ม Euro ที่เกิดปัญหาวิกฤติทางการเงินอาจเริ่มต้นด้วยการใช้จ่ายของภาครัฐบาลหรือภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติจากเดิมด้วยการเคลื่อนย้ายของเงินทุนภายในกลุ่มประเทศ Euro ที่มีโอกาสเพิ่มขึ้น โดยที่นักลงทุนจากประเทศที่เข้มแข็งทางเศรษฐกิจไม่ได้วิเคราะห์ถึงความเสี่ยงที่ถูกต้อง
วิกฤตการณ์อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยของประเทศที่ประสบปัญหาแตกต่างไปจากประเทศในกลุ่ม Euro โดยทั่วไป แต่ยังถือว่าเป็นส่วนน้อยและอาจกล่าวได้ว่าเป็นการตอบสนองต่อปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น Convergence Criteria จึงไม่ใช่อุปสรรคสำคัญในการปรับตัวของกลไกตลาดเนื่องจากมีข้อยกเว้นที่ได้ให้ไว้อยู่แล้ว อุปสรรคสำคัญน่าจะเป็นตลาดแรงงานหรือตลาดสินค้าบริการซึ่งยังคงมีข้อจำกัดหรือการปกป้องอยู่มากในประเทศต่างๆ ของกลุ่ม Euro เอง โปรดสังเกตว่า ถ้าหากใช้ Convergence Criteria สำหรับช่วงปี 2012-2013 แล้ว อัตราเงินเฟ้อขั้นสูงสุดอยู่ที่ 2.5-3.0% และ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีขั้นสูงสุดอยู่ที่ 3.5-5.75% ซึ่งถือได้ว่าไม่ยากในการปฏิบัติตาม ถ้าหากจะเกินก็คงไม่มากและเป็นการชั่วคราว
ดังนั้น ปัญหาจึงไม่ใช่การทำ Convergence Criteria ให้มีหลายมาตรฐาน แต่เป็นการทำให้มีข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน การควบคุมนักลงทุนให้มีการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่รัดกุม และ สุดท้ายการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศที่จะเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจให้ตรงกับสภาพทางเศรษฐกิจที่เป็นจริง ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะอัตราแลกเปลี่ยนเทียบกับกลุ่ม Euro แต่ยังหมายรวมถึงที่เทียบกับประเทศอื่นๆ ด้วย เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศยังคงมีระดับความสามารถการแข่งขันที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก







