การโกหกแอบแฝงในโลกธุรกิจและการเมือง

การโกหกแอบแฝงในโลกธุรกิจและการเมือง

เมื่อปี 2555 ประชาชนไทยได้ยินเรื่องการโกหกสีขาว (white lie) จากปากของรัฐมนตรีอันหมายถึงการพูดโกหกเพื่อให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้น

หรืออย่างน้อยไม่ให้อะไรๆ เลวร้ายลงกว่าเดิม นับว่าเป็นการพูดที่ผู้พูดต้องอาศัยความกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง เพราะหมิ่นแต่ต่อการเข้าใจผิดของสาธารณชน หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดกฎเกณฑ์ ละทิ้งความจริง ปกปิดความผิดพลาด ก่อเกิดผลเสียตามมาได้ ซึ่งผู้พูดนั่นแหละจะได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นผู้ที่พูดโกหกสีขาวจึงต้องใช้ความกล้าหาญ อาจจะถึงระดับ “ทิ้งทวน” หรือ “ไว้ลาย” (ฟังเผินๆ คล้ายพ้องเสียงกับ white lie) ตามสำนวนไทย หมายความว่า ผู้พูดอาจมีอันเป็นไปในทางใดทางหนึ่ง เช่น ถ้าเป็นรัฐมนตรีก็อาจจะถูกปลดจากตำแหน่งโดยไม่มีโอกาสจะชี้แจงอะไรอีกแต่ก็ตัดสินใจที่จะพูดโดยพร้อมรับผลที่ตามมาทุกอย่าง เป็นต้น

การโกหกสีขาวโดยนัยที่กล่าวมานั้น เป็นการพูดเพื่อหวังที่จะให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นแก่สาธารณชน เป็นการพูดที่มีจุดประสงค์ไปในทางที่ดี แต่มีการโกหกอีกอย่างหนึ่งที่คล้ายคลึงกับการโกหกสีขาว นั่นคือ การโฆษณาสินค้าของผู้ผลิตสินค้าผ่านสื่อต่างๆ เพื่อชักจูง โน้มน้าว ให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าของตน ในที่นี้ ขอรวมถึงนโยบายที่พรรคการเมืองและนักการเมืองนำมาหาเสียงจากผู้ลงคะแนนเสียงด้วย ในทุกระดับตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับชาติ จัดอยู่ในประเภทโกหกแอบแฝงนี้ด้วย

ทำไมจึงเรียกว่าโกหกแอบแฝง คำตอบก็คือ เป็นการใช้ถ้อยคำชักจูงให้ผู้บริโภค (ในกรณีการเมืองก็คือผู้ลงคะแนนเสียง) เชื่อว่าสินค้าของตนนั้นดี มีคุณภาพ เมื่อใครใช้แล้วจะเป็นไปตามนั้น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วคุณภาพของสินค้าไม่ได้เป็นไปตามที่โฆษณาไว้ และไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ตามนั้น นโยบายของนักการเมืองและพรรคการเมืองก็เช่นกัน ไม่มีทางที่จะทำได้หรือทำได้น้อย แต่เพื่อให้ผู้บริโภคเชื่อถือ เกิดความไว้วางใจ และเกิดความต้องการขึ้นมาเพราะการชักจูงนั้น ทำให้ตัดสินใจซื้อสินค้าและลงคะแนนเสียง เพื่อหวังว่าเมื่อใช้สินค้านั้นแล้วจะเป็นไปตามที่โฆษณาไว้ และเมื่อลงคะแนนเสียงแล้วนักการเมืองและพรรคการเมืองจะได้ทำดังที่ได้เสนอนโยบายไว้ ทั้งผู้ซื้อสินค้าและผู้ลงคะแนนเสียงต่างก็หวังประโยชน์ตามคำโฆษณาและนโยบายนั้น

สรุปว่า คำโฆษณาของสินค้าและนโยบายของนักการเมืองและพรรคการเมืองที่นำเสนอในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ต่างก็เป็นคำโฆษณาเช่นกัน และคำโฆษณานั้น มีคำโกหกแอบแฝงซ่อนอยู่ด้วยทั้งสิ้น การโฆษณาและการโกหกแอบแฝงจึงไม่อาจแยกจากกัน

ตัวอย่างของการโกหกแอบแฝงในการโฆษณาสินค้ามีให้เห็นอยู่ทั่วไป ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์เสริมความงามทั้งหญิงและชาย ที่ใช้นักแสดงหรือคนหน้าตาดีหล่อบ้างสวยบ้างเป็นผู้นำเสนอหรือพรีเซ็นเตอร์ (presenter) ผ่านภาพยนตร์โฆษณาในโทรทัศน์ ป้ายโฆษณาตามถนนหนทางและสถานที่ต่างๆ รวมทั้งในสื่อสิ่งพิมพ์ ว่าใช้แล้วจะทำให้ผิวดีบ้าง ดูดีบ้าง ประกอบกับการอธิบายถึงส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ว่ามีอะไรบ้าง สรรพคุณดีอย่างไรบ้าง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นถ้อยคำที่ชักจูงให้ผู้เห็นโฆษณาแล้วเกิดความต้องการที่จะใช้ผลิตภัณฑ์นั้น เพื่อที่ตนจะได้สวย หล่อ ดูดีเหมือนกับพรีเซ็นเตอร์บ้าง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วไม่มีทางที่ผู้ใช้จะสวย หล่อ ดูดี เหมือนกับพรีเซ็นเตอร์นั้นได้ หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหลายประเภทได้รับการโฆษณาว่ามีคุณค่าทางอาหารดีเลิศเพื่อชักจูงใจให้คนซื้อ ทั้งที่มีผลวิจัยยืนยันว่า ไม่มีคุณค่าทางอาหารมากมายอะไรเลย แต่บรรดาเจ้าของสินค้าก็ยังสร้างโฆษณาให้ผู้คนซื้อสินค้าของตน ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด เชื่อมั่น ไว้วางใจ นำไปสู่การซื้อสินค้ามาอุปโภคบริโภค การกระทำเช่นจึงเป็นการโกหกแอบแฝง นั่นเอง

อีกประเภทหนึ่งที่เห็นชัดก็คือ การโฆษณาชักชวนให้ลงทุนในกองทุนต่างๆ ของสถาบันการเงินทั้งที่เป็นธนาคารและไม่ใช่ธนาคารที่มีการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ได้ใช้อัตราผลกำไรที่สูงๆ มาชักจูงให้ผู้คนลงทุนในกองทุนดังกล่าวนั้น ทั้งๆ ที่อัตราผลกำไรดังกล่าวเป็นการคาดคะเนล่วงหน้าซึ่งอาจไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ เลวร้ายที่สุดก็คือขาดทุน แต่ไม่ได้เสนอความจริงในส่วนนี้ไว้ เพียงแค่หมายเหตุที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรเล็กๆ ไว้ท้ายคำโฆษณา หรือ ใช้คำพูดเบาๆ และพูดเร็วๆ ในท้ายภาพยนตร์โฆษณาทำนองว่า “การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน” ซึ่งการใส่หมายเหตุไว้เช่นนี้ ทั้งในสื่อสิ่งพิมพ์และภาพยนตร์โฆษณา แทบจะไม่ได้ช่วยให้ผู้ที่จะลงทุนเกิดความเข้าใจและรับทราบความจริงเพิ่มขึ้นเลย จึงมองเห็นเจตนาได้ชัดแจ้งว่า ผู้เป็นเจ้าของสินค้าตั้งใจที่จะชักจูงให้คนหลงเชื่อโดยการโกหกแอบแฝง คือ นำเสนอแต่ด้านดีที่อาจจะไม่เป็นจริงเพื่อจูงใจคน

นอกจากนี้ยังมีโฆษณาสินค้าประเภทผ่อนน้อยผ่อนนาน เช่น สินค้าประเภทรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์ ที่มักโฆษณาว่าระยะเวลาที่ผ่อนยาวนานกว่า ดอกเบี้ยน้อยกว่า จำนวนเงินผ่อนแต่ละงวดน้อยกว่า ทำให้คนเกิดความสนใจ มีแรงจูงใจ และในที่สุดก็เกิดความต้องการที่จะผ่อนซื้อสินค้านั้น แต่เมื่อศึกษารายละเอียดจริงกลับพบว่าซ่อนรายละเอียดเอาไว้มากมาย เช่น อัตราดอกเบี้ยต่ำๆ ที่โฆษณาไว้มีระยะเวลาเพียงปีเดียว หรือจำนวนเงินที่ผ่อนแต่ละงวดน้อยก็จริงแต่เมื่อถึงงวดสุดท้ายซึ่งยังเหลือเงินที่ค้างชำระอยู่หลายแสนบาทจะต้องชำระให้หมดในงวดนั้น เป็นต้น นี่ย่อมแสดงชัดเจนว่าผู้เป็นเจ้าของสินค้ามีเจตนาโกหกเพื่อให้ผู้เห็นโฆษณาเข้าใจผิด

ในส่วนของนักการเมืองและพรรคการเมืองก็เช่นกัน การโฆษณานโยบายอันใหญ่โตหรูหราเพื่อประโยชน์แก่ผู้ลงคะแนนเสียงทั้งๆ ที่มีความเป็นไปได้น้อยหรือเป็นไปไม่ได้เลย ก็ไม่ต่างจากการโฆษณาสินค้าของเจ้าของสินค้า นั่นคือ มุ่งสร้างความเข้าใจผิดให้ผู้ลงคะแนนเสียง เมื่อได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้มีอำนาจแล้ว ไม่ว่าในหน่วยงานระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ ก็มักทำเป็นลืมหรือมีเหตุผลต่างๆ นานามาอ้างเพื่อให้ตนเองไม่ต้องรับผิดชอบต่อนโยบายที่หาเสียงไว้เมื่อทำไม่ได้ นี่ย่อมเป็นการโกหกแอบแฝงอย่างชัดเจนเช่นกัน

การโกหกแอบแฝงนี้ยากที่จะเอาผิดได้ ทั้งการโกหกแอบแฝงในการโฆษณาสินค้าและในนโยบายของนักการเมืองและพรรคการเมือง เท่าที่ผ่านมา ไม่มีการเอาผิดหรือไม่มีใครผิดผู้ที่ใช้การโกหกแอบแฝงมาก่อน ทั้งๆ ที่การกระทำแบบนี้ผิดศีลธรรมจรรยา และบางครั้งอาจผิดกฎหมายด้วย

สิ่งที่จะทำได้ก็คือผู้บริโภคสินค้ารวมทั้งผู้ลงคะแนนเสียง ต้องรู้เท่าทันการโกหกแอบแฝง ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นความจริงก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือลงคะแนนเสียง โดยไม่ตกเป็นเหยื่อของการโกหกแอบแฝง ถ้าทำได้มากขึ้นเท่าใดการโกหกแอบแฝงก็จะลดลงเท่านั้น แต่ถ้าผู้บริโภคและผู้ลงคะแนนเสียงยอมตกเป็นเหยื่อทั้งๆ ที่รู้ ก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะทำอะไรเพื่อให้การโกหกแอบแฝงหมดสิ้นไป