เที่ยวไปกับธรณีวิทยาไอซ์แลนด์ (3)

เที่ยวไปกับธรณีวิทยาไอซ์แลนด์ (3)

หินใหม่ - Upper Pleistocene

ชั้นหิน Upper Pleistocene เป็นหินที่มีอายุน้อยกว่า 0.7 ล้านปี ที่กระจายอย่างจำกัดเฉพาะในบริเวณภูเขาไฟที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ ภูมิอากาศเป็นไปในลักษณะเดียวกับช่วงหลังของ Plio Pleistocene โดยสลับไปมาระหว่างสภาพที่มีน้ำแข็งและไม่มีน้ำแข็ง ดังนั้น Upper Pleistocene มีลักษณะชั้นหินที่สลับกันระหว่างชั้นที่เกิดภายใต้น้ำแข็งและชั้นที่เกิดโดยไม่มีน้ำแข็ง

ลักษณะภูมิประเทศที่ชัดเจนที่สุดของบริเวณภูเขาไฟก็มาจากยุคนี้ ซึ่งประกอบด้วยภูเขาไฟกลางและภูเขายอดแบนที่ทะลุผ่านลาวาของยุค Holocene โครงสร้างที่มีอายุน้อยที่สุดมาจากยุคธารน้ำแข็งล่าสุด Weichselian ในขณะที่ส่วนที่ดูรุ่งริ่งเป็นโครงสร้างที่ถูกกัดกร่อนจากน้ำแข็งยุคก่อนภูเขายอดแบนที่มีอายุน้อยที่สุดเป็นรูปพรรณสัณฐานที่น่าประทับใจที่สุดและอาจใช้เป็นตัวประมาณการความหนาของน้ำแข็งในยุค Weichselian ได้

ช่วง 0.7 ล้านปีสุดท้ายได้รับการวินิจฉัยว่ามีน้ำแข็ง 5 ยุคด้วยกัน ซึ่งหมายความว่า ยุคน้ำแข็ง/ไม่มีน้ำแข็ง รอบหนึ่งกินเวลา 120,000-140,000 ปี ธารน้ำแข็งในยุคน้ำแข็งถือว่ามีขนาดใหญ่สุดในยุค Weichselian ซึ่งกินเวลา 120,000-10.000 ปีก่อน ธารน้ำแข็งที่เหลืออยู่ในปัจจุบันถือเป็นมรดกตกทอดมาจากยุคนี้เองดังรูป จุดสูงสุดของน้ำแข็ง Weichselian อยู่ในช่วง 25-30,000 ปีก่อน โดยมีความหนาของน้ำแข็งกว่า 1 กิโลเมตรในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป ระดับน้ำทะเลทั่วโลกอยู่ต่ำกว่าทุกวันนี้ 100-150 เมตร เพราะว่าน้ำปริมาณถูกกักอยู่ในรูปธารน้ำแข็ง ในไอซ์แลนด์ แผ่นน้ำแข็งมีขอบเขตเลยจากชายฝั่งออกไปจนครอบคลุมไหล่ทวีปเป็นระยะถึง 130 เมตร ประมาณ 18,000 ปีก่อน ความเย็นของยุคน้ำแข็งสุดท้ายเริ่มลดลงและธารน้ำแข็ง Weichselian เริ่มละลายและเกิดน้ำเป็นปริมาณมากจนระดับน้ำทะเลสูงขึ้นท่วมที่ราบต่ำตามชายฝั่ง

จุดเริ่มต้นของยุค Holocene เป็นจุดของเวลาที่ภูมิอากาศทั่วโลกเริ่มเป็นอย่างทุกวันนี้ ในไอซ์แลนด์ภูมิอากาศดังกล่าวเกิดขึ้นประมาณ 9,700 ปีก่อนเมื่อธารน้ำแข็งเริ่มหดตัวอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ร้อยปี แผ่นดินจึงสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนจุกไม้ก๊อกที่ถูกกดไว้ใต้น้ำลอยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อปล่อยมือ เนื่องจากน้ำหนักของน้ำแข็งอันมหาศาลอันตรธานหายไปนั่นเอง เราทราบว่าน้ำแข็งในไอซ์แลนด์หายไปจากอายุของหินลาวาที่ไหลบนพื้นดินแห้งๆ เมื่อประมาณ 8,500 ปีก่อนซึ่งแสดงว่า น้ำ แข็งใช้เวลาละลายจนเกือบหมดในเวลาไม่เกิน 1,200 ปี ภูมิประเทศของไอซ์แลนด์ที่เห็นทุกวันนี้เป็นรูปเป็นร่างสมบูรณ์แล้วเมื่อเริ่มต้นยุค Holocene ยกเว้นเส้นทางของลำน้ำและขอบเขาที่มาวิวัฒนาการภายหลังธารน้ำแข็งละลายแล้ว และภูเขาไฟที่ยังทำงานที่ถูกเปลี่ยนแปลงรูปร่างตามกิจกรรมทางภูเขาไฟ พื้นที่ราบที่น้ำจากธารน้ำแข็งละลายพัดผ่านคิดเป็นประมาณ 5% ของไอซ์แลนด์ หรือ 5,000 ตารางกิโลเมตร และยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการละลายของน้ำแข็งทุกวันนี้

ระบบภูเขาไฟที่ยังคงทำงานทั้งหมดในไอซ์แลนด์ได้ปะทุมาแล้วเป็นเวลา 10,000 ปี ลาวาจากการปะทุไหลออกมาครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 12,000 ตารางกิโลเมตร อย่างไรก็ตามหินเหลว Basalt ประมาณ 10% ออกมาในลักษณะระเบิดเป็นเศษหินภูเขาไฟตกกระจายตามพื้นดินเรียกว่า tephra ซึ่งก็ยังมีบางส่วนที่ปะทุภายใต้แผ่นน้ำแข็งและทำให้เกิดน้ำท่วมตามมา ภูเขาไฟหลังยุคน้ำแข็งไม่ได้กระจายอย่างสม่ำเสมอตามพื้นที่หรือเวลา กิจกรรมภูเขาไฟมีมากในบริเวณเขตภูเขาไฟด้านตะวันออกทางด้านใต้ของเกาะซึ่งระเบิดบ่อยที่สุดและลาวาปริมาณมากที่สุดได้แก่ Skjaldbreidur กับ Trolladyngia

การหายไปของธารน้ำแข็ง Weichseliain ได้ทิ้งเศษหินใหญ่เล็กกระจัดกระจายไว้อันเป็นวัตถุดิบให้เกิดเป็นชั้นดินต่อไป พืชต่างๆ เริ่มกระจายออกจากพื้นดินที่ไม่มีน้ำแข็งทางเหนือ นกและกระแสน้ำมาเอาพืชชนิดใหม่มา หญ้า กก และต้นหลิว เกิดขึ้นก่อน แล้วตามมากด้วย birch ในตอนที่ชาวไวกิ้งมาถึงเกาะไอซ์แลนด์ ป่า birch ครอบคลุมพื้นที่เกาะถึง 25% พืชพรรณเปลี่ยนไปมากหลังมนุษย์เข้ามา ไม่เพียงแต่มีชนิดใหม่เข้ามาได้แก่ วัชพืช แต่ทำให้เกิดการขยายตัวของหญ้าและกก มากมายและทำให้ birch กับต้นหลิวลดลง หลายร้อยปีหลังจากผู้ตั้งถิ่นฐานเข้ามา ป่าได้ลดปริมาณลงไปมาก ปัจจุบันนี้มีป่าเพียง 1% ของประเทศเท่านั้น การลดลงที่ทันทีและรุนแรงของป่าส่วนใหญ่เกิดจากการเพาะปลูกและการใช้เป็นที่อยู่อาศัย

ไอซ์แลนด์ตะวันตกเฉียงใต้

แหลม Reykjanes วางตัวแนวตามตะวันออก/ตกและเป็นบริเวณสำคัญทางตะวันตกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์ มีระบบภูเขาไฟอยู่ 4 แนววางตัวตามแนวตะวันออกเฉียงเหนือ พาดเต็มพื้นที่ของตัวแหลม ด้านบนของตัวแหลมเป็นชั้นหินอายุเก่าแก่ยุค Pliocene ไล่ลงมาเป็น Quatermary และ Holocene ที่มีอายุน้อยลง เทือกเขาบนแหลม Reykjanes เป็นส่วนที่ต่อเนื่องกับเทือกเขาใต้มหาสมุทรที่เป็นรอยต่อระหว่างแผ่นทวีป 2 ฝั่ง

ทางตอนเหนือของแหลม Reykjanes มีจุดท่องเที่ยวสำคัญคือ bingvallir ซึ่งเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาทางธรณีวิทยาและเป็นมรดกโลกที่แสดงถึงรอยเลื่อนของชั้นหินตามแนวรอยแตกระหว่างทวีป ทะเลสาบที่เกิดจากการยืดตัวของเปลือกโลกและน้ำหนักของหินลาวาทับถมทำให้พื้นดินเป็นแอ่งลงไป นอกจากนี้มีน้ำตกขนาดเล็กน่ารักและมีหินลาวายุคล่าสุดเห็นได้ทั่วไป Blue Lagoon เป็นจุดท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่มีแอ่งน้ำพุร้อนจากใต้ดินเป็นสีฟ้าอ่อน อุณหภูมิ 37-39 C อยู่ท่ามกลางกองหินลาวารอบด้าน ทำให้น่าตื่นตาตื่นใจเมื่อเดินลงไปแช่น้ำร้อน

ไอซ์แลนด์ตอนใต้

ไอซ์แลนด์ตอนใต้ถูกขนาบด้วยแถบภูเขาไฟที่ยังทำงานอยู่ทั้งด้านตะวันตกและตะวันออก บริเวณแผ่นดินไหวของไอซ์แลนด์ตอนใต้พาดผ่านที่ราบลุ่มตอนใต้จากระบบภูเขาไฟ Hekla ทางตะวันออกมายัง Brennisteinsfjoll ทางตะวันตก ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นแหล่งแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ๆ ในไอซ์แลนด์ในช่วง 6-8 ริคเตอร์และเกิดทุกๆ ประมาณ 100 ปี ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อฤดูร้อนของปี 2000 พื้นผิวของบริเวณดังกล่าวมีลักษณะเป็นรอยเลื่อนเป็นแถบๆ ตามแนวเหนือใต้ ซึ่งสันนิษฐานกันว่าเป็นลักษณะของการย้ายรอยแยกจากตะวันตกไปตะวันออก

ไอซ์แลนด์ตอนใต้มีความแตกต่างทางภูมิประเทศเป็นอย่างมาก ด้านหน้าส่วนที่ติดทะเลเป็นที่ราบล้อมรอบด้วยภูเขาโดยรอบที่สูง 1000-1500 เมตร ในยุคธารน้ำแข็งน้ำหนักของน้ำแข็งกดพื้นดินให้จมลงใต้ระดับน้ำทะเล เมื่อน้ำแข็งหายไปหลังยุค Weichselian ประมาณ 10,000 ปีก่อน ที่ราบลุ่มนี้ยังคงมีน้ำท่วมบ้าง ตั้งแต่เริ่มยุค Holocene เป็นต้นมา พื้นดินมีระดับเด้งขึ้นมาเนื่องจากน้ำหนักน้ำแข็งที่หายไปและการสะสมของเศษหินทรายที่น้ำพัดพามาจากน้ำแข็งที่ละลายไหลมาจากที่สูง

bjorsa lava ถือว่า เป็นหินลาวาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดที่ไหลมาจากลาวาถึง 8 สายที่มาจากรอยแยกต่างๆ ในระบบภูเขาไฟ Veidivotn ในยุค Holocene ในทิศทางตะวันตกเฉียงใต้ผ่านที่ราบสูงลงไปในที่ราบลุ่มทางใต้ ปริมาณลาวาทั้งหมดมีถึง 22 ลูกบาศก์กิโลเมตร แผ่นลาวาที่มีขนาดรองลงมาได้แก่ Skjaldbreidur ปริมาณ 17 ลูกบาศก์กิโลเมตร ปริมาณลาวามากขนาดนี้แสดงว่าลาวาในยุค Holocene มีปริมาณมากกว่าปัจจุบันถึง 30-40 เท่า ปริมาณลาวาที่มากเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่เปลือกโลกตรงนั้นเด้งขึ้นมาด้วยน้ำหนักของน้ำแข็งหนาถึง 2,000 เมตรที่หายไป

ภูเขาต่างๆ ตามขอบของตอนใต้ไอซ์แลนด์นี้เป็นทั้งภูเขาไฟกลางที่ยังทำงานอยู่และภูมิประเทศแบบภูเขาไฟที่มาจากการปะทุใต้แผ่นดินน้ำแข็งในยุค Pleistocene ถ้ามองจากที่ราบลุ่มทางใต้จะเห็นภูเขาไฟด้านตะวันออกถึง 4 ลูกที่มีธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์คือ Eyjallajokull, Myrdalsjokull, TindfjoollTorfajokull, Hekla ที่มีธารน้ำแข็งขนาดใหญ่เป็นที่ 2 และ 3 และ ภูเขาไฟด้านทิศเหนือคือ Langjokull กับ Hofsjokull การขึ้นไปที่ธารน้ำแข็งบนยอดเขาซึ่งหนาวมากๆ และมีโอกาสขี่ snow mobile ถือเป็นประสบการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับนักท่องเที่ยว

ที่มา: Thor Thordason, “Outline of Geology of Iceland,” Chapman Conference 2012, Reykjavik Iceland.