5 ข้อบีอาร์เอ็น... กับ 7 ข้อของฝ่ายไทย

5 ข้อบีอาร์เอ็น... กับ 7 ข้อของฝ่ายไทย

เริ่มหลุดออกมาบ้างแล้ว สำหรับเนื้อหาในเอกสารคำชี้แจง ข้อเรียกร้อง 5 ข้อที่ส่งมาใหม่

จำนวน 38 หน้าของ "บีอาร์เอ็น" กลุ่มนายฮัสซัน ตอยิบ

ฝ่ายความมั่นคงเริ่มแปลและสรุปเป็นประเด็นๆ โดยข้อใหญ่ใจความอยู่ที่ข้อ 4 ว่าด้วย "สิทธิความเป็นเจ้าของ" ดินแดนมลายูปาตานี ซึ่งในเอกสารฉบับภาษาอังกฤษชุดแรกใช้คำว่า Patani Malay nation โดยให้ไทยยอมรับ "การมีอยู่" และ "อำนาจสูงสุดทางการปกครอง" ซึ่งครั้งนั้นผู้นำเหล่าทัพ นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ตบโต๊ะเปรี้ยงว่า "ยอมรับไม่ได้"

ล่าสุดในเอกสารคำอธิบาย 38 หน้า มีการขยายความประมาณว่า "ให้รัฐบาลรับรองปาตานีเป็นชาติบ้านเกิด และเป็นอธิปไตยของชาวมลายูปาตานี เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เนื่องจากรัฐสยามเข้ามาครอบครองปาตานี และละเมิดสิทธิมนุษยชน พร้อมกันนี้ต้องให้โอกาสแก่ชุมชนมลายูได้บริหารพื้นที่ โดยการตั้งเป็นเขตปกครองพิเศษอยู่ในอำนาจอธิปไตยของไทย ดังเช่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา โดยให้รัฐสภาพิจารณา"

คำถามที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช. ในฐานะหัวหน้าคณะพูดคุยสันติภาพฝ่ายไทยต้องตอบก็คือ เนื้อหาของเอกสารที่หลุดออกมาเป็นข่าว คือข้อเรียกร้องของบีอาร์เอ็นทั้งหมดจริงหรือไม่ มีเงื่อนไขอะไรซ่อนอยู่อีกหรือเปล่า เพราะดูจากสาระที่แปลสรุปออกมาแล้ว น่าจะเป็นการ "เจรจาต่อรอง" มากกว่าการ "พูดคุยสันติภาพ" เนื่องจากในตอนท้ายบีอาร์เอ็นตั้งเงื่อนไขการวางอาวุธ และยุติการก่อเหตุรุนแรงเอาไว้อย่างชัดแจ้ง...

"หากฝ่ายไทยตอบสนอง บีอาร์เอ็นจะยุติปฏิบัติการทั้งปวงในปี 2557 ตามระยะเวลาดังต่อไปนี้ พื้นที่ จ.สงขลา เริ่มเดือน ม.ค. พื้นที่ จ.ยะลา เริ่มเดือน เม.ย. พื้นที่ จ.นราธิวาส เริ่มเดือน ก.ค. พื้นที่ จ.ปัตตานี เริ่มเดือน ต.ค."

คำว่า "ปฏิบัติการทั้งปวง" ไม่ชัดว่าครอบคลุมถึง "เจ้าหน้าที่รัฐผู้ถืออาวุธ" ด้วยหรือไม่ เพราะเนื้อหาช่วงก่อนจะกำหนดกรอบเวลา ระบุว่าจะยุติปฏิบัติการทางทหารต่อประชาชนและ "เจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ถืออาวุธ" กับจะยุติการปฏิบัติการต่อเป้าหมายทางเศรษฐกิจในตัวเมือง นอกจากนั้นยังมีเงื่อนไข "วางอาวุธ" ต่อท้ายข้อเรียกร้องที่ให้ปล่อยตัวนักโทษและยกเลิกหมายจับในคดีความมั่นคง (ข้อ 5)

คำถามก็คือถ้าบีอาร์เอ็นต้องการแค่ "เขตปกครองพิเศษ" ในความหมายเดียวกับ กรุงเทพมหานคร หรือ เมืองพัทยา จริงๆ พวกเขาต้องก่อเหตุรุนแรงเพื่อสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลไทยตลอดมานับสิบปีเชียวหรือ?

นี่คือประเด็นที่หน่วยงานด้านความมั่นคงหลายๆ หน่วยกำลังจับตาว่ามีอะไรซ่อนอยู่อีกบ้าง ขณะที่ สมช.ก็ยังไม่ยอมเปิดเผยเอกสารฉบับเต็มต่อสาธารณะเพื่อให้สังคมช่วยกันพิจารณา หรือดึงผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงการต่างประเทศและคณะกรรมการกฤษฎีกามาร่วมตรวจสอบถ้อยคำ

ความอึมครึมเช่นนี้อาจบานปลายไปสู่ความขัดแย้งและกระทบต่อกระบวนการสันติภาพที่เปราะบางอยู่แล้วให้ล้มครืนลงได้ เพราะในที่ประชุม ศปก.กปต.เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ฝ่ายทหารได้แสดงจุดยืนชัดเจนต่อที่ประชุม 7 ข้อ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการพูดคุยสันติภาพกับบีอาร์เอ็นต่อไป กล่าวคือ

1.ยึดรัฐธรรมนูญไทยเป็นหลัก 2.ไม่ยกสถานะของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง 3.เลี่ยงข้อความที่เข้าเงื่อนไขยูเอ็น และโอไอซี 4.ไม่ตอบข้อเรียกร้องเป็นลายลักษณ์อักษรในประเด็นที่ส่อว่าจะผูกมัดในอนาคต 5.ไม่จำเป็นต้องตอบทุกคำถาม แต่ควรเรียกร้องกลับไปบ้าง 6.ตั้งคำถามเชิงรุกในเวทีการพูดคุย และ 7.ทุกคำตอบที่เป็นลายลักษณ์จะถึงมือยูเอ็นและโอไอซี

หลักการ 7 ข้อของฝ่ายทหารสวนทางกับ 5 ข้อเรียกร้องของบีอาร์เอ็นอย่างชัดแจ้ง... น่าคิดว่ากระบวนการสันติภาพจะเดินต่อไปในรูปใด?