กรณีพิพาทดินแดนกับตัวอย่างฟอล์คแลนด์

กรณีพิพาทดินแดนที่มีอยู่ทั่วโลกย่อมตัดสินกันด้วยกำลังทหารเป็นสำคัญ การทูตอาจจะเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งแต่ก็เป็นเพียงส่วนประกอบ
ความเป็นมาของฟอล์คแลนด์
1600Sebald de Weert ชาวดัทช์ ตั้งชื่อว่า Sebald Islands
1690Captain John Strong ชาวอังกฤษพบโดยบังเอิญและตั้งชื่อช่องแคบระหว่าง 2 เกาะว่า Falkland Channel ตามชื่อของผู้บัญชาการทหารเรืออังกฤษในขณะนั้น
1764ฝรั่งเศสยึดเกาะตะวันออก และ 1765 อังกฤษยึดเกาะตะวันตกโดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่ทราบเรื่อง 1767 สเปนยึดเกาะที่เป็นของฝรั่งเศส 1770 อังกฤษและสเปนพิพาทกันแต่ทำสัญญาสงบศึกในที่สุด
1774อังกฤษถอนการตั้งถิ่นฐานด้วยภาวะเศรษฐกิจ 1811 สเปนก็ถอนตามออกไป หลังจากนั้นสเปนอ้างสิทธิการปกครองเป็นครั้งคราว
1833อังกฤษเริ่มทำการตั้งถิ่นฐานอย่างเป็นกิจจะลักษณะโดยการขับไล่สเปนออกไป
1960อาร์เจนตินาเริ่มขอเจรจาสิทธิเรียกร้องกับอังกฤษผ่านสหประชาชาติ
1971รัฐบาลเอ็ดเวิร์ด ฮีทของอังกฤษทำสัญญาการบินการเดินเรือและการส่งน้ำมันกับอาร์เจนตินาสำหรับหมู่เกาะนี้ แต่อาร์เจนตินาไม่ยอมมากกว่านั้น ถ้าไม่มีการพูดเรื่องอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะ
1981นายพลลีโอโปลโค กัลติเอริรับตำแหน่งประธานาธิบดีอาร์เจนตินา โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเรือและเริ่มแสดงท่าทีแข็งกร้าวหลังขึ้นปีใหม่ 1982
บทเรียนที่ได้
ประวัติศาสตร์โดยย่อข้างต้นคงจะแสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่า ทุกคนที่ไม่ใช่นักรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศคงตัดสินได้ยากเต็มทีว่าใครควรจะเป็นเจ้าของ ในโลกปัจจุบันนี้ ดินแดนที่มีกรณีพิพาทดังตัวอย่างข้างต้นมีจำนวนมาก สถานะของดินแดนพิพาทอย่างนี้มีศัพท์เรียกว่า Irredentism ซึ่งแปลว่า Unredeemed หมายความว่า การอ้างสิทธิแห่งดินแดนโดยที่มีรัฐอื่นปกครองอยู่บนพื้นฐานแห่งชาติพันธุ์หรือประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือเป็นเรื่องข้ออ้างเท่านั้น
สงครามฟอล์คแลนด์
ตอนเย็นวันพุธที่ 31 มีนาคม 1982 นายกรัฐมนตรีมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ขณะนั้นได้ทราบข่าวการเคลื่อนกำลังของกองทัพเรืออาร์เจนตินาซึ่งคาดว่าจะสามารถบุกหมู่เกาะได้ในวันที่ 2 เมษายน การประชุมร่วมกับกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการกองทัพเรือ ได้ข้อสรุปว่า กองทัพเรือจะเตรียมกองกำลังที่สามารถพร้อมเคลื่อนกำลังได้ใน 48 ชั่วโมง
ในระหว่างนั้น สิ่งที่อังกฤษจำเป็นต้องดำเนินการคือ การขอมติที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติซึ่งผ่าน UNSCR 502 ในวันเสาร์ที่ 3 เมษายน โดยที่ประชุมมีมติให้อาร์เจนตินาถอนกำลังออกจากหมู่เกาะทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข มตินี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้นานาชาติเห็นด้วยกับปฏิบัติการของอังกฤษและสร้างแรงกดดันต่ออาร์เจนตินา ส่วนอีกช่องทางหนึ่งคือการขอให้สหรัฐอเมริกากดดันอาร์เจนตินาผ่านความสัมพันธ์ด้านต่างๆ แต่สหรัฐอเมริกาเพียงแต่ระงับการขายอาวุธชั่วคราวเท่านั้น
กองกำลังทางเรือของอังกฤษออกจาก Portsmouth ในวันจันทร์ที่ 5 เมษายน โดยมีเรือบรรทุกเครื่องบิน Hermes และ Invincible เรือพิฆาตและเรือคุ้มกัน 11 ลำ เรือดำน้ำ 3 ลำ เรือสะเทินน้ำสะเทินบก Fearless และเรือสนับสนุนอื่นๆ อีกจำนวนมาก ส่วนนาวิกโยธิน 3,000 นาย พลร่มและหน่วยต่อสู้อากาศยานเดินทางโดยเรือโดยสาร Canberra เป็นที่น่าสังเกตว่า การจัดกองกำลังที่ไม่เพียงพอรังแต่จะพบกับความสูญเปล่าและหายนะในที่สุด
อังกฤษได้พยายามขอให้ประเทศในยุโรปและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกให้การสนับสนุนโดยการยกเลิกการขายอาวุธ การส่งออกสินค้าและการให้สินเชื่อการค้าแก่อาร์เจนตินา ประเทศที่สนับสนุนมีมาก แต่ประเทศที่ไม่ตอบสนองก็ไม่น้อย เช่น อิตาลี สเปน ไอร์แลนด์ อินเดีย ญี่ปุ่นและสหภาพโซเวียต ซึ่งแต่ละประเทศต่างก็มีวาระเบื้องหลังของตนเอง ส่วน Alexander Haig รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มทำหน้าที่เป็นตัวกลางเจรจาตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน
วันจันทร์ที่ 12 เมษายน เรือลำแรกของอังกฤษถึง Ascension Island ซึ่งเป็นครึ่งทางสู่เป้าหมาย เกาะนี้เป็นดินแดนของอังกฤษ แต่อนุญาตให้สหรัฐอเมริกาตั้งฐานทัพเรือที่นั่น ในเวลาเดียวกัน Haig ได้รับเงื่อนไขจากฝ่ายอาร์เจนตินากลับมาโดยมีใจความสำคัญว่า กองกำลังทุกฝ่ายกลับสู่ที่ตั้งเดิม คณะกรรมการร่วมระหว่างสหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา และอังกฤษ แทนผู้ว่าราชการ จะดูแลการปฏิบัติตามข้อตกลง และ ทุกประเทศชักธงของตนเอง องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีตัวแทนชาวอาร์เจนตินาเข้าร่วมด้วยโดยไม่มีผู้ว่าราชการคนล่าสุด และ ทั้งสองฝ่ายจะต้องเจรจาเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติที่ประชาชนในดินแดนใดๆ มีสิทธิเลือกประเทศปกครองได้ ทั้งนี้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 1982
เป็นที่แน่นอนเหลือเกินว่า เงื่อนไขข้างต้นย่อมเป็นสิ่งที่อังกฤษรับไม่ได้ เนื่องจากอาร์เจนตินามีแต่ได้โดยที่ไม่มีอะไรชัดเจนให้ฝ่ายอังกฤษ การเจรจาที่ Haig เป็นตัวกลางยังคงดำเนินต่อไปโดยที่เงื่อนไขไม่มีอะไรดีขึ้นซ้ำฝ่าย Haig ยังมีท่าทีพยายามโน้มน้าวฝ่ายอังกฤษให้อ่อนลงเหมือนกับมีใจให้ฝ่ายตรงข้าม ทั้งๆ ที่สองประเทศก็เป็นพันธมิตรที่สนิทกัน รัฐมนตรีต่างประเทศ Francis Pym ที่อุตส่าห์ไปถึงวอชิงตันก็ยังโน้มเอียงไปทางที่เห็นด้วยกับเอกสารที่ฝ่ายอาร์เจนตินาเสนอมาแถมยังชี้ชวนคณะรัฐมนตรีให้เห็นด้วย แต่ Thatcher ก็อ่านทะลุถึงภาษาทางการทูตที่ละเอียดอ่อนและซ่อนเงื่อนไว้เบื้องหลัง ในที่สุดรัฐมนตรีกลาโหมได้หาทางออกโดยขอให้ Haig ส่งร่างดังกล่าวให้ฝ่ายอาร์เจนตินาก่อน ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะไม่เห็นด้วยเพื่อแสดงให้เห็นเจตนาที่ดีของฝ่ายอังกฤษ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ การปฏิเสธอย่างเป็นทางการของฝ่ายอาร์เจนตินาเป็นเหตุผลที่ทำให้ฝ่ายอังกฤษสามารถปฏิบัติการทางทหารได้อย่างปราศจากข้อโต้แย้งใดๆ และ Total Exclusion Zone ของฝ่ายอังกฤษเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันศุกร์ที่ 30 เมษายน
เรือบรรทุกเครื่องบิน 25 de Mayo ของอาร์เจนตินาถือเป็นภัยคุกคามต่อกองกำลังของอังกฤษเป็นอย่างมาก เนื่องจากเรือดังกล่าวสามารถเคลื่อนที่ได้วันละ 500 ไมล์และเครื่องบินประจำเรือมีรัศมีทำการอีก 500 ไมล์ ฝ่ายอังกฤษจึงมีคำสั่งให้โจมตีเรือดังกล่าวโดยทันทีในบริเวณทางใต้ของแลตติจูด 35 องศา และทางตะวันออกของลองจิจูด 48 องศานอกเขตชายฝั่ง 12 ไมล์ของอาร์เจนตินา ซึ่งถือเป็นการป้องกันตนเองตามมาตร 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ในวันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม กองกำลังอังกฤษมีคำสั่งเพิ่มเติมให้โจมตีเรือปืน Belgrano พร้อมเรือคุ้มกัน 2 ลำ ทั้งหมดนี้เป็นที่คาดกันว่ากำลังหาโอกาสโจมตีกองเรืออังกฤษอยู่ ปรากฏว่าเรือดำน้ำ Conqueror สามารถยิงตอร์ปิโดจมเรือ Belgrano ได้ในเวลา 20 นาฬิกา ซึ่งถือเป็นจุดพลิกผันของสงครามนี้
วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม เรือพิฆาต Sheffield ถูกจรวด Exocet ยิงได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก Sheffield เป็นเรือค่อนข้างเก่าและมีระบบเรดาร์ที่ล้าสมัย อีกทั้งใช้อะลูมิเนียมมากไป ทำให้เสียหายจากไฟไหม้มาก ในระหว่างนั้นแรงกดดันทางการทูตและคำข้อร้องจากสหรัฐอเมริกายังคงหลั่งไหลมาสู่ฝั่งอังกฤษ แม้กระนั้นฝ่ายอังกฤษก็ยังคงต้องพยายามตอบสนองโดยผ่านเลขาธิการสหประชาชาติด้วยข้อเสนอที่สมเหตุผลและคาดว่าฝ่ายอาร์เจนตินาก็ยังคงปฏิเสธอยู่ดี นั่นก็คือการยอมให้ผู้อยู่อาศัยบนเกาะมีสถานะใกล้เคียงกับการปกครองตนเอง โดยให้ผู้อยู่อาศัยตัดสินใจเอง แต่ไม่ให้ฝ่ายอาร์เจนตินาเข้ามาเกี่ยวข้องเลย ทั้งนี้กำหนดให้ฝ่ายอาร์เจนตินาตอบกลับมาภายใน 48 ชั่วโมง
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม กองกำลังอังกฤษสามารถยกพลขึ้นบกได้โดยไม่สูญเสีย แต่เรือลาดตระเวน Ardent และ Antelope ถูกจม ส่วนเรือลาดตระเวน Argonaut และเรือพิฆาต Brilliant ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ในขณะเดียวกันเครื่องบินอาร์เจนตินาได้รับความเสียหายอย่างหนักจากจรวดต่อสู้อากาศยานของฝ่ายอังกฤษจนต้องบินต่ำเพื่อหลบเรดาร์ แต่ก็ทำให้การทิ้งระเบิดไม่แม่นยำหรือลูกระเบิดไม่ทำงาน กองกำลังอังกฤษบนบกไม่ได้รับความเสียหายจากเครื่องบิน เนื่องจากฝ่ายอาร์เจนตินาเน้นการโจมตีเรือคุ้มกัน นอกจากนี้อาร์เจนตินามีจรวด Exocet ในจำนวนจำกัด ทั้งๆ ที่พยายามจัดหาผ่านประเทศในอเมริกาใต้จากแหล่ง เช่น ลิเบียและอิสราเอล วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม เรือพิฆาต Coventry ถูกจมโดยเครื่องบินอาร์เจนตินา ในตอนเย็นเรือ Atlantic Conveyor ที่บรรทุกอาวุธยุทโธปกรณ์รวมทั้งเครื่องบิน Harrier อีก 19 ลำและเฮลิคอปเปอร์จำนวนหนึ่ง ถูกจมด้วยจรวด Exocet แต่เครื่องบินที่บรรทุกมาสามารถบินออกมาก่อนแล้ว
วันพุธที่ 2 มิถุนายน สเปนกับปานามาเสนอให้ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติให้หยุดยิง ด้วยเงื่อนไขที่ฝ่ายอังกฤษเคยปฏิเสธมาแล้ว ญี่ปุ่นลงคะแนนให้กับฝ่ายสเปนเป็นเสียงที่เก้า ที่ทำให้มติผ่านที่ประชุมได้ ทำให้อังกฤษกับสหรัฐอเมริกาต้องใช้สิทธิยับยั้งของสมาชิกถาวร สิ่งที่แปลกกว่านั้น คือ Kirkpatrick ทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติได้กล่าวภายหลังว่า ถ้าให้ลงคะแนนใหม่ จะงดออกเสียงตามคำสั่งที่เพิ่งได้รับจาก Haig นัยว่าเพื่อเอาใจประเทศในอเมริกาใต้
ในวันถัดมา อังกฤษสูญเสียเรือยกพลขึ้นบก Sir Tristram และ Galahad ที่กำลังระบายทหารขึ้นฝั่ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก สองวันถัดมา อังกฤษสูญเสียเรือ Glamorgan ที่ยิงคุ้มกันให้ทหารบนบกจากจรวด Exocet อีก
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน กองกำลังอังกฤษสามารถยึดเป้าหมายอีก 3 แห่ง ก่อนมุ่งสู่ Port Stanly เป็นเป้าหมายสุดท้ายและได้ชัยชนะในที่สุดในวันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน
นัยสำคัญเชิงนโยบาย
1. การบรรยายข้างต้นได้เน้นรายละเอียดการสูญเสียของฝ่ายอังกฤษเพื่อแสดงให้เห็นว่า แม้อังกฤษจะได้จัดเตรียมกำลังที่มีขนาดไม่น้อย การส่งกำลังบำรุงสนับสนุนก็ยังจำเป็นและต้องทำต่อเนื่อง กองทัพเรืออังกฤษที่อาจถือได้ว่ามีสมรรถนะไม่ได้ไกลจากหัวแถวของกองทัพเรือทั่วโลกก็ยังประสบความเสียหายอย่างใหญ่หลวงจากกองทัพของประเทศที่อาจถูกมองได้ว่าด้อยกว่า ทั้งนี้ก็ด้วยฤทธิ์เดชของจรวด Exocet หรืออาวุธในทำนองเดียวกัน การค้นคว้าเพิ่มเติมทำให้ทราบว่ากองเรือสมัยใหม่ไม่เพียงพอด้วยเรือคุ้มกัน แต่จะต้องมีเรือลาดตระเวนรอบนอกซึ่งจะต้องส่งเครื่องบินลาดตระเวนออกไประวังภัยให้ไกลออกไปอีกเพื่อให้มีระบบป้องกันเป็นชั้นๆ ต่อจรวดโจมตีเรือผิวน้ำซึ่งอันตรายและราคาไม่แพงในปัจจุบันนี้
2. การบรรยายข้างต้นได้เน้นความเคลื่อนไหวทางการทูตเพื่อแสดงให้เห็นว่า ในเหตุการณ์หนึ่งๆ แม้ประเทศหนึ่งจะเป็นฝ่ายถูก แต่ก็ต้องดำเนินมาตรการทางการทูต เพื่อให้ประเทศต่างๆ เห็นด้วยในทุกแง่ทุกมุมจนถึงที่สุด ประเทศที่มีความสัมพันธ์อย่างดี โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา กลับแสดงพฤติกรรมเอนเอียงมีใจให้อีกฝ่ายหนึ่งทั้งที่ไม่ชัดและชัดแจ้ง ญี่ปุ่นก็เป็นตัวอย่างอีกประเทศหนึ่งที่ไม่สนับสนุน แต่ความสัมพันธ์อาจไม่ใกล้ชิดกับอังกฤษเท่าสหรัฐอเมริกา การยืนหยัดอยู่ในโลกนี้จะพึ่งหรือไว้ใจประเทศใดไม่ได้เลย ต้องพึ่งตนเองเพียงอย่างเดียว
3. แม้แต่รัฐมนตรีที่อยู่ร่วมรัฐบาลเดียวกันก็ยังไว้ใจไม่ได้ ผู้ที่เป็นผู้นำจึงต้องรอบรู้ในสถานการณ์ทุกแง่มุมจริงๆ เพื่อให้ตัดสินใจได้ถูกต้องและยังต้องคอยเฝ้าดูพฤติกรรมของผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางอันอาจสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นได้
4. ตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นว่า กรณีพิพาทดินแดนหรือ Irredentism ที่มีอยู่ทั่วโลกย่อมตัดสินกันด้วยกำลังทหารเป็นสำคัญ การทูตอาจจะเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งแต่ก็เป็นเพียงส่วนประกอบที่รักษาความชอบธรรมในเวทีโลก กำลังทางทหารที่ไม่เพียงพอย่อมไม่สามารถยืนหยัดในระยะยาวและไม่สามารถเป็นปัจจัยเกื้อหนุนการเจรจาต่อรองได้
5. กำลังทางเศรษฐกิจที่เหนือกว่าย่อมเป็นปัจจัยหนุนหลังการสร้างกำลังทหารที่เข้มแข็งกว่า
คิดออกหรือยังว่ากรณีพิพาทดินแดนของไทยเราควรจะทำอย่างไร?
ที่มา : Wikipedia และ Margaret Thatcher, The Autobiography. London : Harpers Press, 2010




