กฎหมายสหภาพยุโรปว่าด้วยเรื่องการติดฉลากสินค้าอาหาร

กฎหมายว่าด้วยเรื่องการติดฉลากสินค้าอาหารของสหภาพยุโรปหรืออียูฉบับใหม่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคม 2557
โดยคณะกรรมาธิการยุโรปได้ออกกฎหมายดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2554 แต่เนื่องจากกฎหมาย ฉบับนี้ได้ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบปฏิบัติเดิมที่เกี่ยวข้องกับการติดฉลากสินค้าอาหาร และเพิ่มข้อบังคับใหม่ๆ หลายประการ อียูจึงให้เวลาผู้ประกอบการนานถึง 3 ปีในการปรับตัวก่อนที่จะเริ่มบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว
หัวใจของกฎหมายดังกล่าวไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคในอียู โดยเน้นเรื่องความโปร่งใส การให้ข้อมูลและรายละเอียดที่ครบถ้วนถูกต้อง เช่น คุณค่าทางโภชนาการ เครื่องปรุงแต่งหรือส่วนประกอบที่ถูกนำมาใช้ โดยเฉพาะที่อาจก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ ประเทศและแหล่งผลิต วันที่หมดอายุหรือวันสุดท้ายที่ควรบริโภค เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความเอาใส่ใจของอียูในเรื่องมาตรฐาน สุขภาพ ความปลอดภัย รวมไปถึงการรักษาสิทธิของผู้บริโภคในการรับรู้ข้อมูลจากการอ่านฉลาก เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถใช้ดุลพินิจอย่างรอบคอบในการเลือกซื้อและบริโภคสินค้าอาหารที่มีวางขายในตลาดอียู
กฎหมายดังกล่าวครอบคลุมทั้งสินค้าอาหารที่ผลิตในอียูและสินค้านำเข้าทุกขั้นตอนของห่วงโซ่การผลิต การให้บริการอาหารที่ต้องอาศัยการขนส่ง หรือ Catering services ฯลฯ โดยมีข้อบังคับสำคัญๆ ที่ต้องปฏิบัติตามหลายประการ อาทิ การให้ข้อมูลด้านโภชนาการ การขยายข้อบังคับในเรื่องการให้ข้อมูลประเทศแหล่งผลิตให้ครอบคลุมสินค้าเนื้อสุกร เนื้อแกะและเนื้อแพะ รวมทั้งสัตว์ปีก การกำหนดขนาดตัวอักษรที่พิมพ์บนฉลาก ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มาของผักที่ใช้ในการผลิตน้ำมันพืช เช่น ผักกาดก้านขาว (Brassica napus) เครื่องปรุงแต่งและส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ รวมทั้งข้อมูลวันที่แช่แข็งเนื้อสัตว์ไม่ปรุงแต่งและสินค้าประมง เป็นต้น
ข้อมูลที่จะต้องระบุบนฉลากของสินค้าอาหารทุกประเภทเพื่อการบริโภคขั้นสุดท้ายและอาหารที่ส่งให้แก่ผู้ผลิตอาหารในปริมาณมาก ประกอบด้วย (1) ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับสินค้านั้นๆ เช่น ชื่อสินค้า ส่วนประกอบ ปริมาณสุทธิ คุณสมบัติ ลักษณะสินค้า เป็นต้น (2) ข้อมูลเชื่อมโยงกับความปลอดภัยในการบริโภคสินค้า ความเสี่ยงหรือผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น วันที่ผลิตและหมดอายุ วิธีจัดเก็บ แหล่งที่มาหรือผลิต ข้อมูลของส่วนประกอบที่อาจทำให้เกิดการแพ้ ปริมาณแอลกอฮอล์ (ถ้ามี) (3) ข้อมูลด้านโภชนาการสำหรับผู้บริโภคบางกลุ่ม เช่น ผู้บริโภคที่มีโรคประจำตัวบางชนิด (4) ข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่อการเลือกซื้อสินค้าของบุคคลบางกลุ่ม เช่น ระบุจำนวนแคลอรีสำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นโรคอ้วน เป็นต้น
นอกจากนี้ ข้อมูลบนฉลากจะต้องไม่เป็นการชักจูงให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดทั้งในเรื่องรูปลักษณ์ ลักษณะเดิม คุณสมบัติ ส่วนประกอบและเครื่องปรุงแต่ง ปริมาณ วันหมดอายุหรือวันสุดท้ายที่ควรบริโภค แหล่งที่มา ประเทศผู้ผลิต วิธีการบริโภค วิธีการผลิต รวมทั้งต้องไม่อ้างสรรพคุณในแง่การช่วยป้องกันหรือรักษาหรือทำให้หายขาดจากโรคใดๆ ทั้งสิ้น
การให้ข้อมูลผู้บริโภคเกี่ยวกับเครื่องปรุงแต่งหรือส่วนประกอบในสินค้าอาหารที่สามารถทำให้เกิดอาการภูมิแพ้เป็นประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญในอียู ถึงแม้จะมีการกำหนดให้ระบุส่วนประกอบอาหารหรือเครื่องปรุงแต่งที่ทำให้เกิดภูมิแพ้บนฉลากสินค้าแล้วแต่ดูเหมือนว่ารูปลักษณ์และรายละเอียดของข้อมูลบนฉลากที่ได้กำหนดไว้นั้นยังไม่เพียงพอและไม่เป็นที่พอใจโดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง
โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 สถาบันศึกษาด้านภูมิแพ้และวิทยาภูมิคุ้มกันของยุโรป หรือ The European Academy of Anaphylaxis and Clinical Immunology (EAACI) ได้ออกมาเรียกร้องให้อียูเพิ่มความเข้มงวดในกฎหมายฉบับนี้ในเรื่องดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันอียูได้กำหนดให้กลุ่มพืชผัก อาหาร หรือสารต่างๆ รวม 14 ชนิด เป็นกลุ่มที่สามารถก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ คือ (1) ถั่วลิสง (2) ถั่วเหลือง (3) ผลแห้งจากถั่วยืนต้น (4) มัสตาร์ด (5) ไข่ (6) พืชดอกที่อยู่ในสกุลลูพินนัส (7) นม (8) ปลา (9) เมล็ดธัญพืชที่มีส่วนผสมของกลูเตน (10) ขึ้นฉ่าย หรือ ผักตระกูลเซเลอรี (11) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (12) งา (13) สัตว์ที่มีลำตัวเป็นปล้องในตระกูลครัสเตเชียน เช่น กุ้งและกั้ง (14) สัตว์จำพวกมอลลัสก์ เช่น หอยและปลาหมึก
EAACI เห็นว่า การที่กฎหมายฉบับนี้บังคับให้ระบุข้อมูลบนฉลากสินค้าอาหารเพียงว่า อาจมี หรือ “may contain” ส่วนประกอบหรือเครื่องปรุงแต่งที่มีความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ผู้บริโภคเกิดอาการภูมิแพ้คงไม่เพียงพอ กฎหมายควรมีข้อกำหนดที่เข้มงวดมากขึ้นในการควบคุมและป้องกันซึ่งรวมถึงกรณีการปนเปื้อนโดยไม่เจตนาด้วย เช่น การปนเปื้อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิตที่มีการใช้อุปกรณ์หรือเครื่องจักรร่วมโดยไม่ตั้งใจ (Unintentional cross contamination)
EAACI จึงประกาศที่จะผลักดันให้มีการเพิ่มเติมข้อมูลบนฉลากเกี่ยวกับสารเริ่มต้น หรืออนุพันธ์ของสารที่อาจก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้อย่างชัดเจน เช่น การระบุว่ามีสารซัลไฟต์ (Sulfite) ที่อาจทำให้เกิดการแพ้ที่อยู่ในมันฝรั่งและอาหารทะเล ซึ่งเป็นส่วนประกอบหรือเครื่องปรุงของสินค้านั้นๆ เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วยังเสนอให้แยกสารเริ่มต้น หรือ สารอนุพันธ์ที่อาจจะทำให้เกิดการแพ้ออกจากข้อมูลพื้นฐาน ส่วนประกอบและเครื่องปรุงแต่งอื่นๆ ทั่วไปเพื่อให้เห็นเด่นชัดมากขึ้น โดยให้เหตุผลว่าฉลากสินค้าไม่ควรมีเป้าหมายเพียงแค่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโภชนาการ หรือส่วนประกอบและเครื่องปรุงแต่งเพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการแจ้งเตือนผู้บริโภคที่เป็นโรคภูมิแพ้ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ผลการวิจัยจาก The Journal of Food Quality and Preference ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ต้องการฉลากคำเตือนแบบใหม่ที่สะดุดตาและเข้าใจง่าย เช่น ฉลากคำเตือนในรูปแบบสัญลักษณ์มากกว่าคำเตือนที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเหมือนที่นิยมในปัจจุบัน รวมทั้งควรไฮไลต์คำเตือนดังกล่าวในสีสันที่แตกต่างไปจากสีพื้นของฉลาก
ที่ขาดเสียไม่ได้สำหรับอียูอีกเรื่องหนึ่งคือฉลากที่แสดงถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Eco Labeling ซึ่งแม้ปัจจุบันจะไม่ใช่ข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตามภายใต้กฎหมายอียูว่าด้วยการติดฉลากสินค้าอาหารก็ตาม แต่ฉลากดังกล่าวก็มีความสำคัญไม่น้อยต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคในอียู ทั้งนี้ การใช้ Eco Labeling (EU Flower) ในปัจจุบันจะเกี่ยวข้องกับสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มเป็นหลัก โดยประเทศไทยมีธุรกิจที่สามารถติดตรา Eco labeling ของอียูแล้วจำนวน 4 บริษัท ซึ่งก็ยังไม่มากนัก
ปัจจุบันคณะกรรมาธิการยุโรปกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาข้อดีข้อเสียในการปรับปรุงกฎหมายอียูว่าด้วยเรื่อง Eco labeling ให้ครอบคลุมสินค้าประเภทอาหาร เครื่องดื่มและอาหารสัตว์ด้วย โดยคาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จและเผยแพร่ได้ภายในปีนี้ ประเด็นที่คณะกรรมาธิการยุโรปให้น้ำหนักค่อนข้างมากในการศึกษามี 3 เรื่อง ได้แก่ (1) ผลกระทบต่อคุณค่าทางโภชนาการหากพยายามดัดแปลงสินค้าอาหารให้มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้นกว่าปรกติ (2) หลักเกณฑ์ที่จะนำมาใช้ในการประเมินคุณค่าและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตของสินค้าอาหาร เครื่องดื่มและอาหารเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งสินค้าเกษตรไม่แปรรูป และ (3) มูลค่าเพิ่มจากการใช้ฉลาก Eco labeling ควบคู่กับการใช้ฉลากสินค้าอาหารเกษตรอินทรีย์ (certified organic foods label) รวมทั้งความสับสนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้บริโภคเนื่องจากข้อมูลที่ต้องการสื่อผ่านฉลากทั้งสองแบบมีความคล้ายคลึงกันมาก อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้สูงเช่นกันว่า ในที่สุดอียูจะสนับสนุนการติดฉลาก Eco Labeling กับสินค้าอาหาร เครื่องดื่มและอาหารสัตว์ ฯลฯ โดยอาจทยอยให้เริ่มติดฉลากดังกล่าวกับสินค้าอาหารแปรรูป เช่น โยเกิร์ต เนยแข็ง รวมทั้งขนมปังและเนื้อปลาแปรรูป เป็นต้น
ที่น่าสนใจคือบริษัทที่ปรึกษาและวิจัยเกี่ยวกับ Eco Labeling ในอียูชื่อ Oakdene Hollins ได้เคยสำรวจตลาดและพบว่า สินค้าที่มีฉลาก Eco labeling ได้รับความสนใจและสามารถสร้างแรงจูงใจในการเลือกซื้อของผู้บริโภคได้มากกว่าสินค้าที่ไม่มีการติดฉลากดังกล่าว ผลงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งของคณะกรรมาธิการยุโรปผ่าน Eurobarometer ได้ข้อสรุปเหมือนๆ กันว่า ชาวยุโรปกว่าครึ่งให้ความสำคัญและเห็นว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า ดังนั้น นอกเหนือจากเรื่องการรักษาคุณภาพสินค้าอาหารส่งออกของไทยให้ตรงตามมาตรฐานของอียูซึ่งเป็นเรื่องสำคัญแล้ว การที่สินค้าอาหารส่งออกของไทยสามารถติดฉลากที่ถูกต้อง พร้อมทั้งตอบโจทย์และรสนิยมของชาวยุโรปด้วย ก็น่าจะเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าและสร้างแรงจูงใจในการเลือกซื้อของผู้บริโภคยุโรปได้
ประเทศไทยมีผลประโยชน์มหาศาลในการส่งออกสินค้าอาหารและอาหารสำเร็จรูปไปยังอียู ผู้ประกอบการไทยจึงควรเคารพและปฏิบัติตามข้อบังคับต่างๆ ภายใต้กฎหมายอียูว่าด้วยเรื่องการติดฉลากสินค้าอาหารอย่างครบถ้วน รวมทั้งควรมีการปรับกลยุทธ์การตลาดและกระบวนการผลิตที่หันมาให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมตัวรับมือกับแนวโน้มและความเปลี่ยนแปลงในเรื่อง Eco Labeling สำหรับสินค้าอาหารที่อียูอาจมีพัฒนาการสำคัญๆ ออกมาเร็วๆ นี้
ท่านผู้อ่านสามารถติดตามประเด็นเรื่องการติดฉลากในสหภาพยุโรปและข้อมูลเชิงลึกของอียูที่มีผลกระทบสำคัญต่อประเทศไทยได้ที่ www.thaieurope.net หรือติดตามรับข้อมูลข่าวสารดังกล่าวได้ที่ Twitter “@thaieuropenews” และ Facebook “thaieurope.net”
สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ :
http://eur-lex.europa.eu/LexUriServ/LexUriServ.do?uri=OJ:L:2011:304:0018:0063:EN:PDF http://ec.europa.eu/public_opinion/flash/fl_256_en.pdf
http://eur-lex.europa.eu/LexUriServ/LexUriServ.do?uri=OJ:L:2010:027:0001:0019:EN:PDF




