แอบดูสาวๆ ยุคใหม่ในแดนภารตะแต่งตัว

ใครที่เคยไปเที่ยวอินเดียมาแล้วจะเห็นว่าสาวแขกส่วนใหญ่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีการแต่งกายด้วยชุดประจำชาติและชุดพื้นเมืองของอินเดียไว้
ได้อย่างดีเยี่ยมน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง และไม่ใช่แค่แต่งชุดประจำชาติกันในประเทศเท่านั้น แม้แต่เดินทางไปต่างประเทศก็ยังเห็นสวมใส่กันอยู่เป็นปกติ ผู้เขียนเคยไปเข้าร่วมอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงที่มหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ 1 เดือนเต็ม มีเพื่อนร่วมรุ่นมาจากหลายประเทศรวมทั้งสาวแขกจากประเทศอินเดียด้วยอีก 1 นาง เป็นผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกลางแห่งอินเดีย เชื่อหรือไม่ว่าตลอดหนึ่งเดือนที่อบรมอยู่ด้วยกันที่สหรัฐอเมริกานั้น สาวเจ้าไม่เคยสวมชุดอื่นเข้าห้องเรียนเลยนอกจากชุดส่าหรีสีสวยงามทุกวันด้วยความเชื่อมั่นสุดๆ เห็นแล้วยังอดชื่นชมเธอไม่ได้ถึงความภาคภูมิใจในความเป็นอินเดียของเธอ
ชุดประจำชาติของอินเดียนอกจากส่าหรีที่สาวแขกในแดนภารตะนิยมสวมใส่กันแล้วก็ยังมีชุดพื้นเมืองที่เรียกว่า Salwar Kameez ที่สาวๆ แดนภารตะโดยเฉพาะทางภาคเหนือของอินเดียนิยมสวมใส่กันมากที่สุดเพราะสวมใส่สบาย ราคาไม่แพงมากและคล่องตัว โดยชุดดังกล่าวจะประกอบไปด้วยเสื้อตัวยาวคลุมไปถึงเข่าที่เรียกว่า Kameez สวมทับกางเกงขาลีบหรือขาพองแต่มีรัดที่ข้อเท้าที่เรียกว่า Salwar และชิ้นสุดท้ายที่สำคัญมาก คือ ผ้าคล้องคอขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Dupatta สำหรับใช้คล้องคอแบบพาดไหล่จากด้านหน้าไปด้านหลัง ซึ่งทั้งสามชิ้นนี้จะต้องเลือกให้สีเข้ากันเพื่อความสวยงาม อย่างไรก็ตาม ในแต่ละรัฐเช่นรัฐราชสถานหรือรัฐคุชราตก็จะมีการออกแบบเสื้อตัวยาวแตกต่างกันไปบ้าง เช่น แทนที่จะเป็นเสื้อคลุมตัวยาวหลวมๆ แบบธรรมดา ก็จะเป็นกระโปรงยาวคลุมลงมาเลย แต่โดยหลักการแล้วก็จะประกอบไปด้วยเสื้อ กางเกงและผ้าคล้องคอรวมสามชิ้นดังกล่าวแล้วข้างต้น
เห็นสาวๆ ชาวภารตะยังนิยมแต่งตัวด้วยชุดพื้นเมืองกันมากๆ แบบนี้ก็อย่าเพิ่งถอดใจไปเสียก่อนนะครับ เพราะตลาดเสื้อผ้าสตรีของอินเดียยังประกอบไปด้วยเสื้อผ้าแบบอื่นที่สาวๆ ชาวภารตะเริ่มมีความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน คือ นอกจากชุดพื้นเมืองอินเดียแล้ว ตลาดเสื้อผ้าสตรีของอินเดียยังประกอบไปด้วยชุดชั้นใน ชุดกันหนาว ชุดนอน เสื้อแบบทันสมัย เสื้อยืด กางเกงยีนส์ กางเกงสตรีและกระโปรง เป็นต้น ซึ่งในปี 2555 ที่ผ่านมา ตลาดเสื้อผ้าสตรีในประเทศอินเดียมีมูลค่าตลาดรวมสูงถึง 15,096 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณเกือบ 4.7 แสนล้านบาท คิดเป็น 38% ของตลาดเสื้อผ้าทั้งหมดของอินเดียในปี 2555 ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 39,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.23 ล้านล้านบาท และแน่นอนว่า 75% ของมูลค่าตลาดเสื้อผ้าสตรีในอินเดียจะเป็นเสื้อผ้าประเภทชุดพื้นเมืองอย่างส่าหรีและ Salwar Kameez ซึ่งมีมูลค่าตลาดถึง 11,310 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3.5 แสนล้านบาทเลยทีเดียว แต่ปัจจุบันเสื้อผ้าสตรีพื้นเมืองเหล่านี้จะได้รับการออกแบบให้ทันสมัยขึ้น รวมทั้งมีดีไซน์ที่แปลกและสวยงามเพื่อดึงดูดความสนใจจากสาวภารตะรุ่นใหม่อยู่ตลอดเวลา
รองลงมาคือ ชุดชั้นในสตรีซึ่งสาวๆ ทุกคนต้องสวมใส่ ถือเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอนาคตดีมาก โดยในปี 2555 มีมูลค่าตลาดประมาณ 1,835 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 56,885 ล้านบาท ด้วยอัตราการขยายตัวเฉลี่ยในช่วงปี 2550-55 ถึง 14% และมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 12.16% จากที่เคยมีสัดส่วนเพียง 9.22% เมื่อปี 2550 ซึ่งจากการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาทางการตลาดTecnopak Advisors พบว่าสาวภารตะสมัยใหม่ที่มีฐานะดีและอยู่ในเขตเมืองเริ่มให้ความสนใจกับชุดชั้นในมากขึ้นโดยคำนึงถึงรูปทรงของชุดชั้นในที่เหมาะสมกับรูปร่าง คุณภาพ สีสัน และมีสไตล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดชั้นใน Brand Name จากต่างประเทศจะได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ สินค้ากลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่น่าจับตามองมากที่สุด เพราะคาดว่าในปี 2560 หรืออีก 5 ปีจากนี้ไป มูลค่าตลาดชุดชั้นในสตรีในอินเดียจะขยายตัวไปถึง 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.1 แสนล้านบาทเลยทีเดียว โดยกลุ่มเป้าหมายจะเป็นกลุ่มลูกค้าระดับสูงไปจนถึงระดับพรีเมียมที่มีกำลังซื้อสูงอยู่แล้ว
นอกจากชุดชั้นในสตรีแล้ว ชุดนอนสตรีก็เป็นอีกกลุ่มสินค้าหนึ่งที่น่าสนใจแต่ส่วนใหญ่มักจะวางจำหน่ายในร้านค้าปลีกย่อยที่มีสินค้าไม่หลากหลายเท่าใดนัก ซึ่งจากการศึกษาของบริษัท Technopak Advisors พบว่า ลูกค้าเป้าหมายของสินค้ากลุ่มนี้ ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยคำนึงถึงเรื่อง Brand เท่าใดนัก พูดง่ายๆ ก็คือ เน้นของราคาย่อมเยา เพราะใส่นอนอยู่ที่บ้านไม่มีคนอื่นเห็น แต่ก็ยังไม่วายต้องขอเลือกชนิดที่มีดีไซน์และสไตล์เสียหน่อย รวมทั้งต้องสบายเวลาสวมใส่อีกด้วย
สำหรับเสื้อผ้าสมัยใหม่แนวตะวันตกประเภทเสื้อ กระโปรง กางเกง เสื้อยืด และยีนส์ เป็นกลุ่มสินค้าที่มีอนาคตสดใส เพราะปัจจุบันสาวภารตะยุคใหม่ออกมาทำงานนอกบ้านมากขึ้นและสนใจแฟชั่นจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสาวๆ รุ่นใหม่ที่อยู่และทำงานในเมืองใหญ่และเมืองรองที่กำลังพัฒนาหลายเมือง สาวๆ เหล่านี้มักจะติดตามความเคลื่อนไหวในวงการแฟชั่น ทั้งนี้ ปรากฏการณ์เรื่องแฟชั่นจากตะวันตกที่เริ่มมีแบรนด์ดังระดับโลกทยอยหลั่งไหลเข้าไปเปิดสาขาในอินเดียตั้งแต่ประมาณปี 2549 เป็นต้นมาได้ก่อให้เกิดกระแสความนิยมแฟชั่นสมัยใหม่แนวตะวันตกมากขึ้นในหมู่สาวๆ ชาวภารตะรุ่นใหม่ ส่งผลให้สินค้ากลุ่มเสื้อ/เสื้อยืด/กางเกง/กระโปรงมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยอยู่ในระดับสูงถึง 11% ส่วนกลุ่มสินค้ายีนส์ก็ขยายตัวถึง 17% จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะเห็นเสื้อผ้าสตรีแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Zara, Benetton, Vero Moda, Elle ฯลฯ มีสาขาอยู่ตามศูนย์การค้าสมัยใหม่ของอินเดียทุกแห่งโดยสินค้าในกลุ่มนี้มีมูลค่าตลาดรวมกันในปี 2555 ถึง 706 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.2 พันล้านบาทและยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อไปอีกอย่างไม่หยุดยั้ง
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการแต่งตัวของสาวภารตะยุคใหม่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายประการ คือ ผู้หญิงที่ออกมาทำงานนอกบ้านมีจำนวนเพิ่มขึ้น เดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น เปิดรับสื่อจากต่างประเทศมากขึ้น มีรายได้เป็นของตัวเองมากขึ้น เป็นต้น ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ส่งผลอย่างมากต่อพฤติกรรมการแต่งตัวของสาวภารตะยุคใหม่ โดยเฉพาะในด้านรูปแบบการแต่งตัวซึ่งประกอบไปด้วยดีไซน์และสไตล์ที่ทันสมัยและมีความโน้มเอียงไปทางตะวันตกมากขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าภายในปี 2563 ประเทศอินเดียจะมีผู้หญิงวัยระหว่าง 20-40 ปี ออกมาทำงานนอกบ้านในเขตเมืองจำนวนกว่า 40 ล้านคนเลยทีเดียว และนั่นย่อมหมายถึงว่าสาวๆ ชาวภารตะเหล่านี้จะเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของสินค้าเสื้อผ้าสตรีที่ทันสมัยเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แต่เชื่อเถิดว่า แม้แนวโน้มของสาวๆ ชาวภารตะจะหันมาสวมใส่เสื้อผ้าสมัยใหม่มากขึ้น แต่สาวๆ เหล่านี้ก็จะยังคงสวมใส่ส่าหรีและ Salwar Kameez อยู่ด้วยเช่นเดิม เพราะอินเดียเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมสูงมาก
โอกาสทางธุรกิจของไทยจึงน่าจะอยู่ที่ชุดชั้นใน เสื้อผ้าแฟชั่นสมัยใหม่ รวมทั้งยีนส์ สำหรับรองรับตลาดระดับกลางจนถึงระดับกลางค่อนข้างสูง ด้วยแบรนด์ของไทยซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีอยู่ในประเทศอินเดียเลย ก็ขอฝากไว้ว่าแบรนด์ไทยยังเป็นที่นิยมชมชื่นของชาวภารตะอยู่นะครับ เพราะทุกวันนี้นักท่องเที่ยวชาวอินเดียยังนิยมเดินทางมาซื้อเสื้อผ้าและชุดชั้นในแบรนด์ดังของไทยที่ประเทศไทยอยู่เสมอ อินเดียจึงยังเป็นตลาดที่มีความท้าทายเป็นอย่างยิ่งสำหรับสินค้าเสื้อผ้าแบรนด์เนมจากประเทศไทย เพียงแต่เราต้องหันมาให้ความสนใจอย่างจริงจังกับตลาดนี้พร้อมด้วยแผนการตลาดที่ครบเครื่อง แต่ที่สำคัญ...ต้องกล้าๆ หน่อยครับ







