ความคิด ความทรงจำและจินตนาการ (สู่อนาคต)

คนในสังคมไทยกล่าวกันว่าการศึกษาไทยไม่ได้สอนให้ คิด แต่จะเน้นการสอนให้ "จำ" ซึ่งคงไม่ผิด แต่สิ่งที่น่าจะต้องทำความเข้าใจกันให้ชัดเจน
หากต้องการให้เด็กนักเรียน “คิด” ก็คงไม่ใช่แค่การบอกให้คิดหรือสร้างรายวิชาที่ครูคิดว่าต้องใช้สมองคิดมาให้เด็กเรียนเท่านั้น หากแต่ต้องทำความเข้าใจว่ากระบวนการที่เรียกกันว่า “คิด” นั้นคืออะไร
การคิดไม่ใช่การทำงานของสมองคนเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นเรื่องการทำงานของสมองของคนที่ต้องประกอบด้วยกับการซึมซับทางวัฒนธรรมของสังคมนั้น ขณะเดียวกันศักยภาพในการคิดไม่ใช่การคิดเพียงอย่างเดียวหากแต่ การ “คิด” ได้นั้นเกิดจากการทำงานของสมองในสามด้านที่จะกล่าวต่อไปนี้ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกันที่แยกกันไม่ได้
การคิดเป็นกระบวนการที่เริ่มต้นจากการมองเห็น “สิ่ง” ที่ต้องการเข้าใจแต่ยังไม่เข้าใจ หรือ มองเห็น “ปัญหา” ที่ต้องการจะ "จัดการ-จัดระบบ-ควบคุม" (Manipulate) ตัวอย่างการคิดในชีวิตประจำวันง่ายๆ เช่น หิวข้าวทำให้เกิดการคิดว่าจะหาอะไรมายัดใส่ท้อง หรือในทางธุรกิจ/วิชาการก็เมื่อพบกับโจทย์บางข้อ เช่น เมื่อหน่วยงานหนึ่งของ ปตท. ทำผิดพลาดอย่างร้ายกาจเพราะทำน้ำมันดิบรั่วลงทะเล จะ “จัดการ-ควบคุม” ปัญหาอย่างไร เป็นต้น
กระบวนการ “คิด” จึงไม่ได้หยุดที่แค่เห็น “ปัญหา” หากแต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องไปสู่การ “จัดการ-จัดระบบ-ควบคุม” (ต้องเน้นกันอีกทีว่าคำว่า “จัดการ-จัดระบบ-ควบคุม” มีความหมายกว้างและลึกกว่าความหมายทั่วไป ผมพยายามจะคิดแปลคำว่า “Manipulate” ให้ตรงที่สุด แต่ไม่สามารถทำได้ ใครที่รู้ช่วยตอบด้วย) ซึ่งตรงจุดนี้ การ “คิด” จะดึงเอา “ความทรงจำ” มาร่วมการแสวงหาแนวทางการ “จัดการ-จัดระบบ-ควบคุม”
“ความทรงจำ” ที่ถูกดึงมา (โดยอัตโนมัติ) มาประกอบการคิดนั้นจะมีพื้นฐานมาจากสองด้านซึ่งไม่สามารถแยกออกจากกันเช่นกัน ได้แก่ ความทรงจำส่วนตัว และความทรงจำทางวัฒนธรรม ความทรงจำส่วนตัวก็ได้แก่ ความจำที่คนหนึ่งคนได้บันทึก (Recorded) เอาเรื่องที่เกี่ยวพันกับ “ปัญหา” นั้นๆ เอาไว้ ซึ่งความทรงจำส่วนแรกจะมีความลึกซึ้งและบันทึกไว้สลับซับซ้อนเท่าไรก็สัมพันธ์อยู่กับความทรงจำทางวัฒนธรรมที่แวดล้อมและเป็นประสบการณ์ทั้งหมดของชีวิตเขา ตัวอย่างหยาบๆ ที่ไม่ค่อยดีนัก ได้แก่ การสอนให้คิดเลขสองบวกสองเป็นสี่ถูกฝังเอาไว้ในสมองของคน แต่ในยามที่คนดึงมาใช้ สองบวกสองเป็นสี่ของเด็กในเมืองที่มีชีวิตที่สัมผัสกับสองบวกสองเป็นสี่ในหลายมิติหลากสถานการณ์ย่อมแตกต่างไปจากสองบวกสองเป็นสี่ของเด็กชนบท
ผมรู้สึกผิดเล็กอยู่ที่ยกตัวอย่างลักษณะนี้ เพราะในความเป็นจริงเด็กชนบทก็มีโอกาสที่จะเห็นสองบวกสองเป็นสี่ในประสบการณ์ธรรมชาติได้เท่าๆ กับเด็กในเมือง แต่คิดไม่ออกว่าจะยกตัวอย่างอะไรให้เข้าใจได้ชัดๆ ต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
กระบวนการบันทึกข้อมูลของสมอง (Recordization of the brain) เป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างการคิด ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา การวิจัยที่ว่าการเรียนภาษามากกว่าสองภาษาให้พลังในการคิดมากกว่า (โปรดดูไสว บุญมา “พลังสมองของผู้รู้หลายภาษา” กรุงเทพธุรกิจ 26 กรกฎาคม) ก็เป็นเพราะในแต่ละภาษาจะฝังไว้ด้วยความทรงจำทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การข้ามภาษา (shift, switch) จะทำให้เกิดความทรงจำอีกชุดหนึ่งโผล่/แสดงตัวขึ้นในกระบวนการคิดทำให้มองเห็นแนวทางในการ “จัดการ-จัดระบบ-ควบคุม” ได้หลากหลายและเลือกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารู้ภาษาเดียวแล้วจะโง่/คิดไม่เป็นนะครับ การเข้าใจภาษาเดียวอย่างลึกซึ้งโดยสามารถรู้สึกถึงความแตกต่างของคำอย่างลึกซึ้ง ก็ทำให้คิดได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน นักวิชาการญี่ปุ่นและเยอรมันจำนวนไม่น้อยที่รู้แต่ภาษาของตน แต่รู้ลึกซึ้งก็สามารถสร้างความรู้ที่ทรงอิทธิพลได้มากมายครับ
สำหรับสังคมไทย แค่การเรียนรู้ภาษาเดียว เช่น ภาษาไทยยังล้มเหลว ก็อย่าไปหวังว่าเด็กนักเรียนจะคิดอะไรได้ เพราะความเข้าใจภาษาไทยที่อ่อนด้อยก็หมายถึงความทรงจำที่ฝังไว้นั้นขาดวิ่น ความล้มเหลวของการสอนภาษาไทยและภาษาอื่นๆ ในสังคมไทย ก็คือ ความยึดมั่นอยู่เฉพาะ กฎเกณฑ์ความถูกผิดของภาษาโดยไม่ได้สนใจความลึกซึ้งของภาษาและสังคมวัฒนธรรมเลย (เรื่องนี้เอาไว้วันหลังนะครับ)
การ “คิด” จึงแยกไม่ออกจาก “ความทรงจำ” การเรียนทุกวิชาจำเป็นต้องมีการสร้างการจำไว้ระดับหนึ่งเพื่อให้ความจำนั้นเป็น “บันทึก” ไว้สำหรับการดึงมา “คิด” ในสถานการณ์ใหม่ๆ การฝึกให้นักเรียนทำข้อสอบอย่างหนักของกลุ่มอาจารย์ที่สร้างนักเรียนเหรียญทองโอลิมปิกทั้งหลาย ก็คือ การฝึกให้นักเรียนได้ดึงเอาความทรงจำในเรื่องที่เรียนมาสู่การแก้ปัญหาใหม่ๆ นั่นเอง (เรื่องนี้ล้มเหลวโดยรวมนะครับ ก็ขอเอาไว้วันหลังด้วยก็แล้วกันนะครับ ผมว่าหากจะหาตังค์กันจริงๆ เรื่องการจัดการการศึกษานี่เขียนวิจารณ์หาเงินเลี้ยงลูกได้เป็นปีเลยครับเพราะเขียนไปเท่าไร ก็เหมือนเดิม : ฮา)
กล่าวได้ว่า การ “คิด” จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีการฝัง “ความทรงจำ” ที่สลับซับซ้อน ดังนั้น การคิดแบบนักการศึกษาไทยที่จะละทิ้ง “ความจำ” เพื่อให้เด็กคิดเป็น (เช่น การที่จะสอนเล่นหมากรุก) จะไม่มีวันทำได้ดังที่หวังหรอกครับ
ที่สำคัญ การ “คิด” ที่มีฐานที่สำคัญจาก “ความทรงจำ” นั้นจะทำให้เกิดการสร้าง “จินตนาการ” ขึ้นเพื่อใช้ไปในการ “จัดการ-จัดระบบ-ควบคุม” (การ “คิด” เฉยๆ อย่างเดียวเป็นสิ่งที่ไม่ได้เรื่องและไม่มีจริงนะครับ เพราะไม่ว่าจะ “คิด” อะไรก็ต้องตามมาด้วยความต้องการที่จะ “จัดการ-จัดระบบ-ควบคุม” เสมอ) การใช้คำว่า “จินตนาการ” ในที่นี้ก็เพื่อทำให้ชัดเจนว่าการสร้างสรรค์ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากจินตนาการ เพราะ “จินตนาการ” ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในแต่ละเรื่องแต่ละประเด็นนั้นจะทำให้สามารถสร้างแนวทางที่นำไปสู่การ "จัดการ-จัดระบบ/ควบคุม" อันหมายความว่าเป็นแนวทางที่จะทำในเวลาข้างหน้าหรืออนาคตนั่นเอง
ทั้งหมดนี้ สรุปจากประสบการณ์การสอนวิชา “ประวัติศาสตร์” ที่จะต้องต่อสู้กับความเชื่อผิดๆ/ความจำที่ล้มเหลวที่ว่าวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาท่องจำ ตลอดเวลายี่สิบกว่าปีก็ได้ทดลองทุกวิถีทางที่จะผลักนักศึกษาให้ออกจากกรอบการ “คิดไม่เป็น” มาสู่การ “คิด” แบบประวัติศาสตร์ และก็ได้ข้อสรุปในการทำงานดังได้อธิบายมาข้างต้น
ผมเขียนมายืดยาวเพื่อที่จะบอกว่าหากระบบการศึกษาไทยไม่สามารถมองเห็นกระบวนการการเรียนรู้ได้ ผู้ปกครองและนักเรียนนักศึกษาก็ต้องช่วยตัวเองกันล่ะครับ ช่วยกัน “คิด” หน่อยครับ เพื่อสังคมไทยของเรา







