ศูนย์รถยนต์โลกดีทรอยต์ เจ๊ง : มันเกิดได้อย่างไร?

พอข่าวออกมาว่า เมือง ดีทรอยต์ อันโด่งดังด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐ ประกาศ ล้มละลาย
ต้องขอให้กฎหมายเข้ามาคุ้มครองตนเอง ก็เกิดคำถามทันทีว่าเมืองทั้งเมือง “เจ๊ง” ได้ด้วยหรือ?
คำตอบก็คือเศรษฐกิจของเมืองสหรัฐ สามารถประกาศ “ล้มละลาย” ได้จริง และต้องเร่งหามาตรการทางกฎหมาย เพื่อเป็นการปกป้องไม่ให้เกิดความเสียหาย จนประชาชนเดือดร้อนมากกว่าที่เป็นอยู่
แม้ว่าจะเคยมีเมืองอื่นๆ ของสหรัฐ ที่เจอชะตากรรมเช่นนี้ แต่ ดีทรอยต์ ของรัฐมิชิแกน เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ที่ขอความคุ้มครองจากการล้มละลาย ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก และเกิดคำถามว่าจะมีเมืองอะไรอื่นในสหรัฐเดินตามมาอีกหรือไม่
อาจจะไม่เป็นข่าว แต่เมืองดีทรอยต์ ขาดเงินมาหลายสิบปีแล้ว ต้องกู้เงินมาใช้จ่ายเดือนต่อเดือน เพื่อยังสามารถให้บริการประชาชนในเรื่องพื้นฐานได้
หนี้สินของเมืองทั้งหมดอยู่ที่ มากกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 420,000 ล้านบาท
เพราะว่ารายได้น้อยกว่ารายจ่ายมาตลอด ถึงวันนี้ก็ไม่สามารถจะจ่ายหนี้ตามกำหนดได้ จึงประกาศ default คือ ไม่อาจชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยได้
เมื่อขอความคุ้มครองภายใต้กฎหมายแล้ว เมืองดีทรอยต์ ก็จะได้รับโอกาสอีกครั้งหนึ่งในอันที่จะ “ปรับโครงสร้างหนี้” โดยมีศาลระดับประเทศเป็นผู้เข้ามากำหนดกติกา
ปีนี้ปีเดียว ดีทรอยต์ มีงบประมาณขาดดุลสูงถึง 380 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 11,400 ล้านบาท
ภาพลักษณ์ของเมืองใหญ่แห่งนี้ย่อมเสียหายใหญ่หลวง เจ้าหนี้ก็จะได้เงินคืนน้อยกว่าเงินต้นมาก เพราะต้องมีการเสนอ hair cut หรือ ลดหนี้กันถ้วนหน้า
อีกทั้งยังน่าสงสัยว่าเงินบำนาญสำหรับผู้เกษียณจะยังมีจ่ายหรือไม่
ถามว่าเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ความจริง อาการเสื่อมทรุดของเมืองดีทรอยต์มีให้เห็นมาหลายปีดีดักแล้ว แต่ความพยายามที่จะสกัดไม่ให้ถึงจุดแตกหัก ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
เมืองดีทรอยต์ มีประชากร 1.8 ล้านคน ในช่วงทศวรรษ 1950-1960 ซึ่งเป็นช่วงเฟื่องฟูเพราะอุตสาหกรรมรถยนต์
และเพราะพึ่งพาแต่เพียงอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างเดียวนี่แหละ ที่ทำให้เศรษฐกิจของนครแห่งนี้มีความอ่อนไหวอย่างยิ่ง
ไม่เหมือนเมืองใหญ่ๆ อย่าง นิวยอร์ก หรือ ชิคาโก ที่มีเสาหลักด้านรายได้มากกว่าอุตสาหกรรมเดียว
แต่พอถึงปลายๆ ยุคนั้น สัญญาณแห่งการเสื่อมถอยก็เริ่มปรากฏให้เห็น เมื่อมีการก่อสร้างในบริเวณชานเมืองมากขึ้น ประชากรเริ่มเคลื่อนย้ายจากเมืองไปชุมชนนอกเมือง
"จลาจลผิว" เมื่อปี 1967 เร่งให้ครอบครัวคนผิวขาวย้ายออกไปอยู่ชานเมือง เหนือถนน Eight Mile Road ซึ่งถือว่าเป็นเส้นแบ่งที่อยู่อาศัยระหว่างคนผิวดำกับคนผิวขาว
ขณะเดียวกัน บริษัทรถยนต์ที่รุ่งเรืองในดีทรอยต์ก็เริ่มเปิดโรงงานในเมืองต่างๆ อีกทั้งรถยนต์ที่สั่งเข้าจากญี่ปุ่น ก็เริ่มกระทบยอดการขายและการผลิตของรถอเมริกันเอง
จากนั้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ของดีทรอยต์ก็เริ่มร่วงลง ทำให้รายได้จากภาษีหดหาย ผลที่ตามมาคือตำรวจไม่สามารถควบคุมอัตราอาชญากรรมที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ เพราะเศรษฐกิจมีปัญหาหนักขึ้นทุกวัน
ในช่วงเวลาเดียวกันนั่นเอง ชนชั้นกลางผิวดำเริ่มย้ายออกจากตัวเมือง โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เขตที่อยู่อาศัยชานเมืองซึ่งปลอดภัยกว่า และมีโรงเรียนที่มีคุณภาพดีกว่าให้ลูกหลานได้เรียน
พอถึงปี 2009 อุตสาหกรรมรถยนต์ของดีทรอยต์ ก็มีอันต้องพังพาบไปพร้อมๆ กับเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในภาพรวมของสหรัฐทั้งประเทศ
บริษัทผลิตรถยนต์ดังๆ ของสหรัฐ เช่น GM, Chrysler และ Ford กับบริษัทผลิตชิ้นส่วนมากมายต่างก็โยกโรงงานไปที่อื่น ที่สามารถใช้ระบบการผลิตที่ทันสมัยและประหยัดกว่า
เมื่อเศรษฐกิจหดตัวต่อเนื่อง ตึกรามบ้านช่องก็ถูกทิ้งร้าง กลายเป็นที่อยู่อาศัยของคนไร้บ้านช่องที่เพิ่มพูนขึ้นเพราะความยากไร้
เมื่อคนทำงานอพยพหนี จำนวนผู้เสียภาษีของเมืองลดน้อยลงเป็นเงาตามตัว รายได้ของรัฐบาลท้องถิ่นก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รัฐบาลท้องถิ่นภายใต้การนำของนายกเทศมนตรี Kwame Kilpatrick ขณะนั้น ถูกกล่าวหาว่ามีเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวงหนักหน่วง ทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้วทรุดลงอย่างต่อเนื่อง
ประชากรของ ดีทรอยต์ ในปี 2000 ลดลงต่ำกว่า 1 ล้านคน เพราะผู้คนอพยพหนีออกจากตัวเมือง วันนี้เหลือมากกว่า 700,000 คน เล็กน้อย
เจ้าหนี้ของเมืองดีทรอยต์ ที่กำลังเจรจาหาทางปรับโครงสร้างหนี้ มีอยู่ทั้งหมด กว่า 10,000 ราย ซึ่งรวมถึงธนาคาร กองทุนบำนาญตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐ และสหภาพแรงงานต่างๆ นั่นย่อมหมายความว่า หากไม่เร่งหาเงินกู้ก้อนใหม่มาให้ทันกาลทันเวลา คนที่อาศัยอยู่ในดีทรอยต์จำนวนมาก จะมีปัญหาเรื่องเงินสะสมหดหายไปหมด
วิกฤติลักษณะที่เมืองทั้งเมือง ในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดของโลก ประกาศล้มละลายนี่สะท้อนถึงระบบทุนนิยมที่บิดเบี้ยวหนักหน่วงขึ้นทุกวัน




