สินค้า ลัทธิพิธี ในสังคมไทย

การทำให้ทุกสรรพสิ่งกลายเป็น สินค้า เป็นกระบวนการที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม กระบวนการนี้ก็จะต้องผลิต สินค้า ตัวใหม่ขึ้นมาตลอดเวลา
เพราะต้องกระตุ้นความต้องการบริโภคของผู้คนตลอดทุกลมหายใจเข้าออก หากคนหยุดบริโภคสินค้าเมื่อใด ระบบเศรษฐกิจก็พังทลายลงทันที
การผลิต “สินค้า” ตัวใหม่ขึ้นมาก็จะกินพื้นที่ส่วนในหรือส่วนลึกของจิตใจคนมากขึ้นๆ เพราะสินค้ากายภาพธรรมดาทั่วไปจะถึงจุดอิ่มตัวของการบริโภคได้ การฝังความหมายใหม่ในตัว “สินค้า” ที่มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนจึงเกิดเข้มข้นขึ้นเพื่อให้เกิดความต้องการบริโภคอย่างต่อเนื่อง และเพื่อจรรโลงระบบเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปอย่างราบรื่น
การผลิต “สินค้า” ใหม่ที่ขยายตัวมากในสังคมไทยช่วงยี่สิบ-สามสิบปีที่ผ่านมา ได้แก่ สินค้า “ลัทธิพิธี” (Cult) ลัทธิพิธีใหม่ๆ ที่หลากหลายสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าของตนได้อย่างกว้างขวางและสร้างความจงรักภักดีในตัวสินค้าลัทธิพิธีได้อย่างแนบแน่น
หากนิยามศาสนาในเชิงวัฒนธรรมว่าเป็นระบบสัญลักษณ์ซึ่งมีพลังในการอธิบายกระบวนการของชีวิตตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต (อดีตและอนาคตที่ไม่ใช่แค่อดีตและอนาคตของชีวิตคนในชาตินี้) พลังการอธิบายนี้ครอบคลุมทั้งทางด้านอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ระบบศีลธรรมในความสัมพันธ์ระหว่างตนกับสรรพสิ่งรายล้อมทุกมิติ และเป็นรากฐานแรงจูงใจของมนุษย์ให้ปฏิบัติตามด้วยการสร้างกฎทั่วไปในการอธิบายการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง เช่น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
“ลัทธิพิธี” ส่วนใหญ่ในสังคมไทยไม่สามารถที่จะสร้างพลังของตนได้อย่างครบถ้วนทุกมิติ จึงมักจะต้องแอบอิงอยู่กับศาสนาหลักบางศาสนา เช่น ลัทธิพิธีของพระเณรคำ ลัทธิแก้กรรม (ทั้งหลาย) ก็แอบอิงและหยิบส่วนเสี้ยวของศาสนาพุทธเถรวาทไทยมาใช้ประโยชน์ หรือการแปลงหลัก “อนัตตา” มาเป็น “อัตตา” ของลัทธิธรรมกาย เป็นต้น
การเข้าถึง “ลัทธิพิธี” ใหม่ๆ จำนวนมากไม่ได้ใช้ความศรัทธาในหลักการ หากแต่เป็นการเข้าไป “ซื้อ” สินค้าที่ผลิตจากลัทธิพิธีนั้นๆ โดยที่ “สินค้า” นั้นมักจะตอบสนองอย่างตรงไปตรงมากับความต้องการของผู้ซื้อ เช่น ซื้อ “บุญ” ผ่านสินค้า จ่ายเงินมากก็ได้บุญมาก หรือ ลงทุนทำอะไรบางอย่างเพื่อแก้กรรม วัดทั่วไปก็เริ่มที่จะผลิตสินค้าตัวใหม่ๆ เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าของตน เช่น ภายหลังจากมีการโฆษณาขายสินค้าการทำบุญเก้าวัดในวันเดียวก็ได้ ทำให้วัดในเชียงใหม่สร้าง "สินค้า" จากหลายศาสนามาอยู่ในพื้นที่วัด ไม่ว่าจะเป็นเทวรูปจากศาสนาฮินดู กวนอิมจากมหายาน เสด็จพ่อ ร.5 กับเจ้าดารารัศมี (ผนวกเอาการปล่อยปลา เต่าแก้กรรมเข้าไปด้วย) เป็นต้น
ความต้องการของตลาดที่ขยายตัวมากขึ้นมากเช่นนี้ จึงทำให้เกิดการสร้างสินค้าตัวบุคคลขึ้นมาตอบสนองอย่างต่อเนื่อง ท่าน ว. ได้ถูกทำให้เป็นสินค้าให้แก่ชนชั้นกลางปัญญาชนเพราะพูดจามีหลักการ และมีเสน่ห์ในการทำให้ขบคิดพลิกผันจากที่เคยคิดอยู่บ้าง ประกอบกับเสนอการคิดเชิงบวกที่ฮิตกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
พระเด็กที่ไม่ค่อยมีความรู้ทางปรัชญาหรือภาษาไม่สวยก็ถูกทำให้เป็น “สินค้า” ที่ซ้อนในสภาวะของพระแก่หรือภาพของหลวงปู่เพื่อที่จะได้พูดอะไรประหลาดๆ ได้โดยผู้ฟังก็ไม่กระดากใจหรือตะขิดตะขวง เช่น เป็นเพื่อนกับพระอินทร์ เป็นต้น พร้อมกันนั้นพระเด็กนี้ก็ตอบสนองไปในทำนองเดียวกับการแก้กรรมเพื่อให้ผู้บริโภคสบายใจ
ผู้บริโภคสินค้า “ลัทธิพิธี” เหล่านี้ไม่ได้ต้องการกรอบการอธิบายอะไรให้ยุ่งยาก รวมทั้งไม่ต้องการการดัดแปลงวิธีคิดวิธีรู้สึกและการปฏิบัติตนตามหลักการของศาสนาเพื่อบรรลุ “บรมธรรม” หากแต่ต้องการเพียงผลตอบแทนแบบฉับพลันและเฉพาะหน้าในชีวิตประจำวันเท่านั้น ดังนั้น การทำบุญเก้าวันจึงเลือกเฉพาะวัดที่มีชื่อสอดคล้องกับความต้องการดังกล่าว เช่น วัดดวงดี วัดชัยมงคล วัดลอยเคราะห์ เป็นต้น
น่าประหลาดใจนะครับ ตลาดสินค้าเหล่านี้ไม่ได้จำกัดตัวอยู่เฉพาะในประเทศไทยครับ เพื่อนอาจารย์ผมที่ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์เล่าให้ฟังว่าชาวสิงคโปร์นิยมเช่า/ซื้อพระเครื่องจากประเทศไทยมาก โดยเฉพาะรุ่นที่มีชื่อเสียงทางด้านการค้าขาย ผมก็เลยแนะนำเขาไปว่าคราวต่อไปเวลามาเมืองไทยไม่ต้องขนหนังสือกลับไปอ่าน/วิจัยหรอก ขนพระเครื่องไปดีกว่า ได้กำไรแล้วค่อยจ้างนักศึกษาไทยส่งหนังสือไปให้ (หากรวยแล้ว ก็จงแบ่งผมบ้าง)
แต่อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญไม่ได้อยู่ที่ผู้ผลิตสินค้า “ลัทธิพิธี” เท่านั้น หากแต่ที่สำคัญกว่าและจะต้องตอบให้ได้ ก็คือ ทำไมและด้วยเงื่อนไขอะไรตลาดหรือผู้บริโภคสินค้า “ลัทธิพิธี” นี้จึงขยายตัวอย่างมากมาย ผมแปลกใจตลอดมาว่าทำไมคนในสังคมไทยจึงบริโภคหนังสือลัทธิพิธีแก้กรรมกันคึกคัก (รวมถึงหนังสือประเภทเข็มทิศที่ขายดีเป็นล้านเล่มด้วย แฮ่ๆ อิจฉาน่ะ หนังสือของผมพิมพ์พันเล่ม ใช้เวลาขายแปดปี ฮา)
ผมคิดว่าคนจำนวนมากในสังคมไทยที่อยู่ในจังหวะของความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจนี้ล้วนแล้วแต่จมอยู่กับปัญหาของการไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้และเป็นการเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ด้วยตนเองหรือด้วยครอบครัวตนเองเท่านั้น หากยังอยู่ในการผลิตแบบเดิม เช่น ทำการเกษตรหรือทำการค้าแบบ "กงสี" ที่ต่อให้คาดการณ์ไม่ได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น พวกเขายังรู้สึกอบอุ่นใจเพราะหากพลาดพลั้งอะไรก็มีญาติพี่น้องคอยช่วยเหลือหรือเป็นหลังพิงให้ไม่ล้มไปเสียทีเดียว
ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่สำคัญมากในช่วงหลังนี้ ก็คือ การขยายตัวของการเป็นผู้ประกอบการ การก้าวเข้ามาสู่การเป็นผู้ประกอบการเองในด้านต่างๆ และระดับต่างๆ ไม่ว่าเล็กหรือกลางเป็นทางเลือกของผู้คนจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เพิ่งหลุดออกจากภาคเกษตรกรรม หรือ ลูกหลานชนชั้นกลางเดิมที่เพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรี
การขยายตัวของผู้ประกอบการมาพร้อมกับความรู้สึกถึงความเสี่ยงที่มากขึ้นเพราะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น (เช่น ร้านกาแฟสวยๆ ที่ทยอยเปิดกันมากมาย หรือ ล้อเข็นขายอาหารข้างถนน) ประกอบกับรัฐไทยไม่ได้ประกันความมั่นคงในชีวิตให้แก่พวกเขา (แรงงาน/การผลิตนอกระบบนี้ยังเข้าไม่ถึงการประกันสังคม) จึงทำให้คนจำนวนมากเกินครึ่งหนึ่งของกำลังแรงงานทั้งหมดอยู่ในสภาพของการดิ้นรนด้วยตัวเอง
นอกจากนั้น ผู้ประกอบการเหล่านี้ส่วนมากเป็นผู้หญิง พวกเธอยิ่งประสบกับความตึงเครียดกับความสัมพันธ์ในศาสนาพุทธของไทยมาก ทางเดียวที่จะจัดความสัมพันธ์กับวัดไทยได้อย่างเท่าเทียมหรือมีอำนาจเหนือกว่า ก็คือ อำนาจซื้อ จึงไม่แปลกใจที่ผู้หญิงที่เป็นผู้ประกอบการจะเป็นโยมอุปถัมภ์รายใหญ่ของวัดที่ขายสินค้า “ลัทธิพิธี”
ความตึงเครียดอันเกิดมาจากการทำมาหากินในภาคการผลิตไม่เป็นทางการ โอกาสในการเลื่อนสถานะหรือชนชั้น การเปลี่ยนตำแหน่งแห่งที่ของผู้หญิงในสังคมที่สูงขึ้นกว่าเดิม ล้วนแล้วแต่เป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่ทำให้เกิดตลาดสินค้า “ลัทธิพิธี” การแก้ไขปัญหาจึงไม่ใช่การควบคุม “ลัทธิพิธี” หากแต่อยู่ที่การสร้างอำนาจความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสังคมและความเข้าใจตนเองของผู้คนต่างหาก ซึ่งหากเกิดความเข้าใจที่กว้างขวางมากพอ ผู้คนย่อมมีทางเลือกในการตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้า “ลัทธิพิธี” หรือจะเข้าสู่การสร้างความเข้าใจในหลักธรรมของศาสนาตน




