เศรษฐกิจโลกหลังยุคฉันทามติวอชิงตัน

ถ้อยแถลงล่าสุดของ ดร. เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐต่อสภาคองเกรสตอกย้ำจุดยืนเดิม
คือ การเริ่มปรับลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ในช่วงปลายปีนี้ แต่เปิดช่องพร้อมปรับเปลี่ยนนโยบายหากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นโดยเฉพาะสถานการณ์การว่างงาน
ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐและประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างไม่สามารถแก้ไขได้เพียงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะด้วยมาตรการการเงินหรือการคลังก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงประคับประคองให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นทว่าไม่มีผลยั่งยืนอะไร แต่ต้องอาศัยการปรับโครงสร้างและปฏิรูปเศรษฐกิจ
ขณะที่ แนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจมักจะเดินตามแนวทางฉันทามติวอชิงตันเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวเริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ยังเหมาะสมหรือไม่กับสถานการณ์ในปัจจุบัน
เศรษฐกิจโลกหลังยุคฉันทามติวอชิงตัน จะเข้าสู่ ยุคศูนย์กลางโลกหลายศูนย์กลางโดยที่เอเชียตะวันออกเคลื่อนตัวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกเพิ่มขึ้นตามลำดับ นโยบายการบริหารจัดการเศรษฐกิจโลกและการปฏิรูปเศรษฐกิจตามแนวทาง “ฉันทามติวอชิงตัน” ถูกท้าทายและตั้งคำถามมากขึ้น
แนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจแบบฉันทามติวอชิงตันกำลังถูกท้าทายอย่างหนักในกลุ่มประเทศยูโรโซนที่มีปัญหาวิกฤติ และถูกตั้งคำถามรวมทั้งมีการเสนอทางเลือกแบบอื่นในละตินอเมริกา
จอห์น วิลเลียมสัน แห่ง Institute for International Economics วอชิงตัน ดีซี ผู้ประดิษฐ์คำว่า Washington Consensus หรือ ฉันทามติวอชิงตัน ได้ให้คำอธิบายว่า การบริหารเศรษฐกิจภายใต้แนวคิดฉันทามติวอชิงตันนั้นประกอบไปด้วยชุดความคิดและนโยบายอยู่ห้ากลุ่มด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ กลุ่มที่หนึ่ง นโยบายว่าด้วยวินัยทางการคลัง (Fiscal Discipline) และการสร้างเสถียรภาพ (Stability) ขณะนี้ เรื่องว่าด้วยวินัยทางการคลังอาจต้องพิจารณาประเด็นโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป ภาระทางการคลังทางด้านสวัสดิการที่เพิ่มสูงขึ้น วินัยทางการคลังที่เหมาะสม คือ อะไรในช่วงที่เกิดวิกฤติโดยเฉพาะในภาคการเงิน รัฐควรแบกเอาปัญหาหนี้เสียในภาคการเงินมาเป็นภาระทางการคลังหรือไม่ หากไม่ทำเช่นนั้นโดยยึดหลัก วินัยการคลังตามแนวคิดแบบฉันทามติวอชิงตันแล้ว จะแก้ปัญหาอย่างไร หรือ ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ เศรษฐกิจหดตัว มีคนว่างงานมาก การลดการใช้จ่ายงบประมาณ การเพิ่มภาษียิ่งทำให้ปัญหาทรุดหนักขึ้น หากไม่ยึดวินัยทางการคลัง เจ้าหนี้อย่างไอเอ็มเอฟ หรือ ธนาคารกลางยุโรป ก็ไม่ปล่อยกู้ให้อีก วินัยทางการคลังในภาวะวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจย่อมแตกต่างจากในภาวะปรกติ
กลุ่มที่สอง นโยบายว่าด้วยการเปิดเสรี (Liberalization Policy) อันหมายถึง การเปิดเสรีทางด้านการค้า การเงิน การลงทุน การเปิดเสรีภาคการเงินมากเกินไปในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมากำลังทำให้ตลาดการเงินโลกมีความผันผวนปั่นป่วนมากจนมีผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงและเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ
กลุ่มที่สาม ชุดนโยบายว่าด้วยการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหรือการเพิ่มบทบาทของเอกชนในกิจการภาครัฐ (Privatization) ขณะนี้หลายประเทศเวลานี้กลับดำเนินนโยบายสวนทางกับแนวทางดังกล่าว มีการนำกิจการของเอกชนที่เคยแปรรูปไปแล้วกลับมาเป็นของรัฐ หรือ นำเอากิจการที่แปรรูปให้กับนักลงทุนต่างชาติกลับมาเป็นกิจการของชาติหรือของรัฐ (Nationalization) อีกครั้งหนึ่ง ประเทศที่เคยใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมหันมาใช้ระบบตลาดมากขึ้น แต่ยังมีลักษณะการบริหารเศรษฐกิจต่างจากประเทศทุนนิยมดั้งเดิม มีการใช้กลไกรัฐวิสาหกิจขับเคลื่อนเศรษฐกิจและรัฐยังขยายบทบาทมาทำกิจการหลายอย่างที่เอกชนทำอยู่ จึงถูกเรียกว่า ทุนนิยมโดยรัฐ และ รัฐมีบทบาทสูงในการชี้นำทิศทางเศรษฐกิจ ไม่ได้ดำเนินตามแนวทางการเพิ่มบทบาทเอกชนหรือแปรรูปมากนัก
กลุ่มที่สี่ ชุดนโยบายว่าด้วยการลดการควบคุมและการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ (Deregulation) การควบคุมหรือกำกับมากเกินไปทำให้เกิดต้นทุนเพิ่มขึ้นและยังเปิดช่องให้มีการทุจริตคอร์รัปชันอีกด้วย กฎระเบียบที่มากเกินไปทำให้เป็นช่องของการทำมาหากินของขุนนางข้าราชการในระบอบอำมาตยาธิปไตยและนักเลือกตั้งได้มาแบ่งปันผลประโยชน์เหล่านี้มากขึ้นตามลำดับหลังจากที่บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยแบบธุรกิจการเมือง กฎระเบียบและมาตรการกำกับดูแลกิจกรรมทางเศรษฐกิจก่อให้เกิดทั้งต้นทุนและประโยชน์ต่อสังคม การกำกับควบคุมจึงต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เพราะการผ่อนคลายและเปิดเสรีมากเกินไป อาจหมายถึง การเก็งกำไรเกินขนาดจนเกิดความผันผวนต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดการเงิน หรือ เกิดสภาพปลาใหญ่กินปลาเล็ก เกิดความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรม ความหละหลวมและผ่อนคลายกฎระเบียบในภาคการเงินมากเกินไป ก่อให้เกิดปัญหาวิกฤติหนี้ซับไพร์ม ปัญหาสถาบันการเงินในยูโรโซน จึงทำให้เกิดการทบทวนว่าการผ่อนคลายกฎระเบียบแค่ไหนจึงเหมาะสม กำกับควบคุมดูแลแค่ไหนจึงเกิดประโยชน์ ไม่ใช่ยึดคัมภีร์มุ่งผ่อนคลายกฎระเบียบอย่างเดียว โดยเฉพาะภาคการเงินเวลานี้เกิดกระแสตีกลับ ต้องกำกับดูแลให้เข้มงวดขึ้นโดยเฉพาะธุรกรรมเก็งกำไรทั้งหลาย
กลุ่มที่ห้า คือ ชุดนโยบายว่าด้วยกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน (Property Rights) ต้องการให้มีการกำหนดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้ชัดเจนและปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในการปกป้องสิทธิดังกล่าวเพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการลงทุนและการสะสมทุนอันจะส่งผลดีต่อการขยายตัวของระบบทุนนิยม อย่างไรก็ตาม ตามแนวคิดดั้งเดิมของนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์อย่าง จอห์น วิลเลียมสัน ต้องการให้แนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจปราศจากการเจือปนของอุดมการณ์ทางการเมือง อยากให้เป็น เมนูนโยบายของผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจหรือเทคโนเครตทางด้านเศรษฐศาสตร์ แต่ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไปๆ มาๆ “ฉันทามติวอชิงตัน” ถูกมองว่าเป็นผลผลิตของรัฐบาลอเมริกัน ไอเอ็มเอฟ และ ธนาคารโลก โดยมีพื้นฐานของความคิดแบบลัทธิเสรีนิยมใหม่ (Neo-Liberalism) แนวทางดั้งเดิมไม่ได้บูชาลัทธิเสรีนิยมแบบสุดขั้วหรือเชื่อมั่นว่า กลไกราคาและตลาดแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจได้อย่างไร้ขีดจำกัด การเปิดเสรีทางการเงินแบบไม่มีเพดานและการปล่อยให้ค่าเงินเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีการบริหารจัดการเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
แนวทางปฏิรูปเศรษฐกิจแบบฉันทามติวอชิงตันถูกนำมาใช้เป็นคัมภีร์หลักในการบริหารเศรษฐกิจโลกและประเทศส่วนใหญ่ สองสามทศวรรษผ่านมาชุดนโยบายถูกนำมาใช้แก้ปัญหาทางเศรษฐกิจโดยไม่พิจารณาความเหมาะสมของเวลาและสถานที่ การไม่มีมิติด้านเทศะและด้านกาละนี้ ทำให้ “ชุดของนโยบาย” เป็นยาสามัญที่ใช้โดยทั่วไปเพื่อแก้วิกฤติเศรษฐกิจ เราก็เห็นการให้ยาผิดขนานมาแล้วในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งในเอเชีย และ เห็นกันชัดๆ อีกทีในวิกฤติยูโรโซน กรีซ สเปน หรือปัญหาวิกฤติหนี้สินละตินอเมริกาช่วงทศวรรษ 80-90 เงินกู้ของธนาคารโลกหรือไอเอ็มเอฟหรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (ที่ไม่ใช่ธุรกิจเอกชน) มักจะมาพร้อมกับการกำหนดเงื่อนไขการดำเนินนโยบาย (Policy Conditionalities) ประเทศลูกหนี้จึงต้องปฏิรูปและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจตามที่เจ้าหนี้ต้องการหาใช่การดำเนินการตามความต้องการของประชาชน อิทธิพลของลัทธิเสรีนิยมใหม่ครอบงำงานวิจัยและกำหนดทิศทางของวงการวิชาการ ทำให้เกิดองค์ความรู้ความเชื่อกลไกแห่งรัฐล้มเหลว การแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ (Economic Rent) เกิดขึ้นโดยผู้มีอำนาจรัฐเสมอ การลดบทบาทและลดขนาดของภาครัฐจึงเป็นเรื่องต้องทำ และถ่ายโอนการผลิตไปสู่ภาคเอกชนให้มากที่สุด ซึ่งแนวทางแบบนี้อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะบางทีทุนยักษ์ใหญ่ก็สามารถแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ เอารัดเอาเปรียบสังคมและสร้างความไม่เป็นธรรมจากอำนาจผูกขาดได้เช่นเดียวกัน ครับ







